จนถึงอาทิตย์นี้ คดีทำร้ายไปจนถึงฆ่าคนอเมริกันเชื้อสายเอเซียก็ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในเมืองชาร์ลอตต์ รัฐนอร์ธแคโรไลนา มีชายผิวดำคนหนึ่งบุกเข้าไปร้านขายของชาวเกาหลี แล้วทุบทำลายสินค้าในร้านอย่างบ้าคลั่ง พลางตะโกนว่า “กลับประเทศของแกไปซะ”
หลายคนจำชื่อเมืองนี้ได้ เพราะเกิดการประท้วงเกี่ยวกับความเกลียดชังและเลือกปฎิบัติหลายหน แต่เป็นการเลือกปฎิบัติระหว่างผิวขาวกับผิวดำ หนนี้เกิดขึ้นกับคนเอเซียแทน เกิดคดีคล้ายๆ กันนี้ในนิวยอร์ก ชายอเมริกันเข้าไปในร้าน 7-11 ที่มีชาวเอเซียเป็นพนักงานขาย พังร้านทำลายข้าวของเสียหาย ต่อยหน้าพนักงานรายนั้นหลายหน ตะโกนด่าให้กลับประเทศไป
ส่วนอีกเคสนั้นสยองยิ่งกว่าหนังสยองขวัญ หญิงเอเซียวัย 64 จูงหมาตัวเล็ก ๆ สองตัวไปเดินเล่นบริเวณบ้านที่รัฐแคลิฟอร์เนีย กลับถูกหญิงผิวขาวแทงตาย แต่กลายเป็นว่าตำรวจไม่แจ้งข้อหาคดีแห่งความเกลียดชัง หากสังเกตดูจะเห็นว่าคนร้ายแทบทุกคนมุ่งเป้าไปที่คนเอเซียที่หน้าตาค่อนไปทางคนจีนเป็นหลัก
อาทิตย์ก่อนเขียนถึงเคสต่างๆ เกี่ยวกับการทำร้ายอเมริกันเชื้อสายเอเซีย ที่ดูเหมือนว่าจะมุ่งเน้นไปที่คนจีนเป็นพิเศษ อยากบอกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะเกิดขึ้นมาก่อนในอดีต แต่ไม่เคยถูกบรรจุไว้ในตำราเรียนหลักของอเมริกา
คนเอเซียกลุ่มแรกที่อพยพเข้ามาอยู่ในอเมริกาคือคนจีน โดยเข้ามาเป็นแรงงานกรรมกรในช่วงปี ค.ศ.1850 ส่วนมากกระจายไปเป็นแรงงานทำงานในไร่ทางตอนใต้ของประเทศ ทำเหมือง และสร้างทางรถไฟที่วางพาดจากตะวันออกสู่ตะวันตก ยิ่งมีการค้นพบทอง เกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า “ตื่นทอง” ทำให้ผู้คนหลั่งไหลไปทางตะวันตกมากขึ้น ที่สำคัญนายจ้างอยากจ้างคนจีน เพราะจ่ายถูกกว่า ไม่บ่น อดทน ขยัน และสามารถอยู่อย่างแออัดได้
ในช่วงแรกมีการว่าจ้างกรรมกรอเมริกันและยุโรป ให้มาสร้างทางรถไฟสายประวัติศาสตร์นี้ แต่ต่อมาพวกกรรมการฝรั่งประท้วงเพื่อเรียกร้องค่าจ้างเพิ่ม บริษัทที่รับเหมาการสร้างรางรถไฟเลยตัดปัญหากรรมกรฝรั่งช่างประท้วง ด้วยการนำเข้ากรรมกรจีนมาจากมณฑลกวางตุ้ง หลายคนอาจจะงงว่าบริษัทอเมริกันคิดยังไงถึงอุตส่าห์ถ่อเรือไปรับคนจีนมาสร้างทางรถไฟที่แคลิฟอร์เนีย ในเวลานั้นบริษัทที่รับเหมาสร้างทางรถไฟให้เหตุผลว่า หากคนจีนสามารถสร้างกำแพงเมืองจีนได้ การสร้างทางรถไฟก็ไม่น่าจะเกินความสามารถ
แรงงานจีนกลุ่มแรกเดินทางมาถึงอเมริกาในปี ค.ศ. 1850 แต่อย่าคิดว่าบริษัทฝรั่งอั้งม้อใจดีมีเมตตาต่อกรรมกรจีนเชียวนะ เพราะปฎิบัติต่ออาเฮียอาเจ็กยุคนั้นแบบสองมาตรฐานเห็นๆ กรรมกรจีนได้ค่าจ้างระหว่าง 26-35 ดอลลาร์ต่อเดือน โดยต้องทำงานสัปดาห์ละ 6 วัน วันละ 12 ชั่วโมง โดยไม่มีสวัสดิการอาหารและที่พักอาศัย ในขณะที่กรรมกรฝรั่งได้รับค่าจ้างขั้นต่ำอย่างน้อย 35 ดอลลาร์ต่อเดือน พร้อมอาหารและที่พัก
ทั้งที่ได้ค่าจ้างต่ำว่าแรงงานผิวขาว แต่พวกฝรั่งอั้งม้อก็ยังไม่พอใจ เพราะคิดว่าแรงงานจีนพวกนี้มาแย่งงานตน สัดส่วนแรงงานที่เป็นคนจีนในแคลิฟอร์เนียมีสูงถึง 20% ในส่วนของงานสร้างทางรถไฟอย่างเดียวคนงานจีนมีสัดส่วนสูงถึง 90% ของแรงงานทั้งหมดในปี 1867 เลยเกิดการปีนเกลียวกันเรื่อยมา ส่วนมากแล้วผิวขาวนี่แหละปีนเกลียว ส่วนผิวเหลือง เนื่องจากสปีคอิงลิชไม่ค่อยได้ เลยก้มหน้าก้มตาทำงานงุดๆ
ในปี 1871 คนผิวขาวกว่า 500 คน ปิดล้อมชุมชนชาวจีนในเมืองลอสแอนเจลิส แล้วแขวนคอผู้ชายและเด็กจีน 17 คน การฆ่าล้างบางหนนั้น เกิดจากพวกมาเฟียจีนตีกันเอง แต่ฝรั่งคนหนึ่งดันโดนลูกหลงจากการเลี๊ยะพะ อ๋ายยยย..ฝรั่งทนไม่ได้เลยยกพวกไปฆ่าคนจีน สุดท้ายคือไม่มีฝรั่งคนไหนรับโทษจากการแขวนคออาเฮียอาตี๋เลยแม้แต่คนเดียว
ในปี 1885 เกิดการบุกฆ่าแรงงานจีนในเมืองร็อกสปริงส์รัฐไวโอมิ่ง ฝรั่งผิวขาวผู้อารยะบุกฆ่าหมู่คนจีน 28 คน ด้วยข้อกล่าวหาว่าอาเฮียพวกนี้มาแย่งงานคนผิวขาว แล้วผิวขาวผิวเหลิองก็ตีกันนัว หลังจากนั้น แรงงานผิวขาวประมาณ 100 - 150 คนคว้าปืนไล่ฆ่าคนจีนอย่างบ้าคลั่ง ทำให้แรงงานจีนกว่า 600 ชีวิตต่างหนีเอาตัวรอดไปเมืองข้างๆ เคราะห์ซ้ำกรรมซัด ดันมีคนไปหลอกให้อาเฮียพวกนี้ขึ้นรถไฟบอกว่าจะพาไปซานฟรานซิสโก ที่ไหนได้ พากลับมาที่เมืองเดิม แล้วถูกบังคับให้เป็นทาส ทำงานในเหมือง 13 ปี ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลกลาง เจอแบบนี้หัวร่อไม่ได้ ร่ำไห้ไม่ออกเลย เพราะรัฐบาลกลางลงมือเฆี่ยนเองเลย
นอกจากจะถูกทารุณทำร้ายต่างๆ นานาแล้ว ยังเจอข้อหาว่าเป็นตัวเชื้อโรคก่อนจะเกิดโควิด 19 เสียอีก ในปี 1900 เกิดโรคกาฬโรคต่อมน้ำเหลือง ระเบิดโพละที่ซานฟรานซิสโก ซึ่งเป็นเมืองที่คนจีนอยู่กันเยอะมากจนตั้งไชน่าทาวน์ได้ หวยมาออกที่คนจีน เพราะคนป่วยคนแรกเป็นคนจีน แม้ว่าโรคนี้จะมีต้นกำเนิดมาจากเรือที่เดินทางมาจากออสเตรเลียก็ตาม ทำให้ชุมชนคนจีนถูกตำรวจปิดล้อม แต่คนผิวขาวไม่โดน ตำรวจมีสิทธิ์ค้นและรื้อทำลายบ้านคนจีนได้ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในฮาวายด้วยเช่นกัน มีการเผาบ้านเรือนคนจีนเพราะถูกกล่าวหาว่าเป็นแหล่งเพาะเชื้อกาฬโรคจนวอดวาย
กลุ่มคนเอเซียที่โดนกระทำถัดจากคนจีนคือเคนเวียตนาม ในปี 1970 หลายคนคงจำได้ว่าเกิดสงครามเวียตนาม คนเวียตนามหนีภัยสงครามหนีมาอยู่อเมริกาเป็นจำนวนมาก คนเวียตนามที่ย้ายมาอเมริกาจะมาอยู่ที่ อ่าวกาลเวสตันในเท็กซัส
เมื่อย้ายมาอยู่อเมริกา ก็ทำกิจการจับกุ้ง พอเริ่มร่ำรวยอู้ฟู้ ฝรั่งผิวขาวเกิดไม่พอใจขึ้นมาอีก เลยปะทะกันมาเรื่อย จนกระทั่งคนเวียตนามเจอจัดหนัก เพราะงานนี้พวกคูคลักแคลนซ์มาเองเลย ประกาศลั่นบางว่าจะล้างบางพวกเวียตให้หมดแผ่นดิน มีการฝึกสมาชิกผิวขาวแบบทหารเพื่อข่มขู่คนเวียตนาม คว้าอาวุธขึ้นเรือแล้วขับวนเวียนข่มขู่คนเวียตนามที่ทำฟาร์มกุ้ง
พวกนี้เผาเรือของคนเวียตนามรวมทั้งเผาไม้กางเขนเพื่อข่มขู่ เผาไม้กางเขนนี่เป็นวิธีถนัดของพวกคูคลักแคลนซ์ ตอนจะข่มขู่คนผิวดำก็ทำแบบนี้ คือสร้างไม้กางเขนอันเบ้อเริ่มขึ้นมาอันหนึ่งในบริเวณบ้านของคนที่อยากจะขู่ แล้วเผาไม้กางเขนไฟลุกจ้าในเวลากลางคืน มองดูน่ากลัว
นอกจากความขัดแย้งระหว่างคนผิวขาวกับคนเอเซียแล้ว ยังเกิดความขัดแย้งระหว่างคนผิวดำกับคนเอเซีย ส่วนมากแล้วคนเอเซียไม่ได้รังเกียจหรือรู้สึกอคติอะไรกับคนผิวดำ แต่คนผิวดำมีอคติกับคนเอเซีย แต่สรุปสั้นๆ คำเดียวเลยคือ “อิจฉา”
ถ้าเล่าเรื่องนี้คงยาวเป็นมหากาพย์ จึงขอจบประวัติศาสตร์ความขัดแย้งในอดีตไว้เท่านี้ เพื่อปูให้เห็นภาพกว้างๆ ว่า เรื่องอคติและการขัดแย้งระหว่างคนผิวขาวกับคนเอเซียไม่ใช่เรื่องใหม่ หากเกิดขึ้นมานานแล้ว ส่วนมากจบลงด้วยความอดทนอดกลั้นของคนเอเซีย และผิวขาวลอยตัว แต่สิ่งที่คนเอเซียถูกกระทำในช่วงนี้คงเป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายจนทำให้เกิดการลุกมาประท้วงกระจายไปทั่วอเมริกาเวลานี้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี