จริงๆ แล้วเขียนเกี่ยวกับสถานการณ์โควิดในอเมริกามาตลอดทั้งปี แต่เวลานั้นคนไทยในประเทศไทยรู้สึกว่าเรื่องโควิดเป็นเรื่องไกลตัว แม้ไทยจะมีการระบาดมาแล้วสองรอบ แต่เราสามารถจัดการป้องกันได้จนสงบราบคาบทั้งสองหน จนมาช่วงนี้นี่แหละที่คนไทยในประเทศไทยตื่นตกใจทั้งประเทศ เพราะรู้สึกว่าหนนี้อันตรายใกล้ตัวเหลือเกิน
ผู้เขียนได้รับข้อความถามมาในช่องทางโซเชียลมีเดียว่า ในฐานะที่อาศัยอยู่ในดงการระบาดต่อเนื่องยาวนานเกินปี มีวิธีป้องกันตัวเองอย่างไร ท่ามกลางการระบาดจัดหนักแบบไม่เว้นวรรคเช่นนี้ เลยคิดว่าจะเขียนเล่าประสบการณ์การป้องกันตัวเองจากโควิดในชีวิตประจำวัน เผื่ออาจจะเป็นประโยชน์ต่อใครได้บ้าง
ก่อนอื่นต้องปูพื้นก่อนว่า อเมริกามีทั้งหมด 50 รัฐ บางรัฐถือเป็นเขตระบาด ส่วนบางรัฐไม่ใช่ หรือในรัฐที่เป็นเขตระบาด บางเมืองที่ห่างไกลปืนเที่ยง บางชุมชนหรือบางเมืองอาจเกิดการระบาดไม่มากนัก แต่ระบาดในเขตเมืองใหญ่ ยกตัวอย่างเช่น รัฐแคลิฟอร์เนีย ถือเป็นรัฐที่การระบาดติด 1 ใน 5 ที่มีการระบาดสูงสุด แต่โซนที่ระบาดอย่างหนักหนาสาหัส อยู่ที่แอลเอ บางเมืองมีการระบาดน้อย อะไรทำนองนี้
ขอเล่าในรัฐที่อาศัยอยู่คือ รัฐอินเดียน่า ซึ่งจัดเป็นรัฐที่มีการระบาดสูง แม้ไม่ได้ติด 1 ใน 5 แต่ยังอยู่ในอับดับ 14 จาก 50 ซึ่งก็นั่นแหละ ในรัฐอินเดียน่าเอง บางเมืองไม่ค่อยมีการระบาด แต่เมืองไหนเป็นเมืองใหญ่ มีคนอาศัยเยอะ การระบาดจะแพร่กระจายอย่างต่อเนื่อง อย่างในเมืองที่ผู้เขียนอาศัยอยู่ ซึ่งเป็นเมืองที่มีขนาดกลางและมีคนอาศัยหนาแน่นรองจากเมืองหลวงของรัฐ เปรียบง่ายๆ หากอินเดียน่าโปลิสคือกรุงเทพ เมืองที่ผู้เขียนอยู่คือเชียงใหม่
พลเมืองในชุมชนที่อยู่นั้นมีประมาณหนึ่งแสนคน ป่วยโควิดไปแล้ว 1 ใน 4 คือเดินมา 4 คน ป่วยโควิด 1 คน ประมาณนั้น บางช่วงถึงกับมีรถเทรลเลอร์แช่ศพมาจอดรอท้ายโรงพยาบาล ในช่วงที่ระบาดหนักๆ คนไทยในชุมชนซึ่งมีอยู่พอสมควรหาทางป้องกันตัวเอง เพราะรู้ดีว่าหากป่วยเป็นโควิด หมอจะให้นอนอยู่บ้าน หากมีไข้ก็กินยาไทลีนอลรักษาตัวเองไป พูดง่ายๆ ว่า “ตายฝัง..ยังเลี้ยง” นั่นแหละ คือหายก็หาย อาการหนักก็หามเข้าโรงพยาบาล ตายก็หิ้วไปฝัง
หลายคนอาจคิดว่าคนแก่ติดโควิด อาจจะได้การรักษาในโรงพยาบาลจนหายเป็นปกติ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่แบบนั้น นี่คือเคสที่เกิดขึ้นจริงในเมืองนี้ แม่สามีของเพื่อนคนหนึ่งเป็นคนที่ชอบไปโบสถ์และสนับสนุนทรัมป์ เชื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่ทรัมป์พูด รวมทั้งเมินเฉยต่อโควิด โดยบอกว่า “นี่เป็นแค่ข่าวปลอม” ไม่ใช่เรื่องจริง
เพื่อนห้ามแล้วห้ามอีก แต่แม่สามีก็ไม่ฟัง สุดท้ายติดโควิดจากโบสถ์ ในวัย 80 มีโรคประจำตัวเพียบ สามีเพื่อนส่งตัวแม่สามีเข้าโรงพยาบาล ต้องหอบหิ้วกันไปเอง ไม่มีรถพยาบาลมารับถึงบ้านหรอก หมอให้นอนรักษาตัวในโรงพยาบาล 3 วัน..แล้วส่งตัวกลับมารักษาตัวที่บ้าน ทั้งที่ยังไม่หายดี ลูกหลานต้องดูแลกันต่อ แลเติดโควิดตามๆกันทั้งบ้าน
ปัญหาหลักๆ ที่คนไทยในอเมริกาปวดหัวมากคือ อเมริกันไม่ยอมป้องกันตัวเอง ช่งวแรกๆ ที่เริ่มมีการระบาดปีกลาย ประธานาธิบดีไม่สนับสนุนให้มีมาตรการป้องกันใดๆ จึงทำให้คนที่สนับสนุนทรัมป์ไม่เชื่อมั่นในตัวหมอและการสาธารณสุข แถมทำตัวมีปัญหาอย่างที่ปรากฎแก่สายตาชาวโลกเสมอๆ จนถึงวันนี้ก็ไม่ค่อยจะยอมใส่หน้ากากกันเท่าไหร่ หรือใส่แบบเสียไม่ได้
เวลามีคนติดโควิดในเมือง จะไม่มีการประกาศไทม์ไลน์แบบเมืองไทย จึงจำเป็นต้องวัดดวงกันเอง ผู้เขียนเลยฟังธงว่าทุกห้างสรรพสินค้าและร้านอาหารเข้าข่ายเสี่ยง แถมร้านอาหารบางแห่งปกปิดข้อมูล พอมีคนติดโควิดก็ไม่ประกาศผ่านข่าวหรือสื่อใดๆ เวลามีพนักงานติดโควิด ก็แค่บอกให้พนักงานพักงาน มาตรการรักษาความสะอาดก็ไม่รัดกุมพอ
เวลาเดินเข้าไปในห้างร้านซุปเปอร์มาร์เก็ตในอเมริกา หากเทียบกับเมืองไทยแล้วจะเห็นว่าแตกต่างราวฟ้ากับเหว ที่เมืองไทยมีทั้งการย่ำในแอลกฮอลล์บางห้าง ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย มีการสแกนโน่นนี่เพื่อติดตามตัว ตามราวบันไดมีพนักงานคอยเช็ดทำความสะอาด ห้างที่นี่เดินเข้าไปโดยไม่มีมาตรการรักษาความสะอาดหรือป้องกันโรคใดๆ รองรับ นอกจากบังคับให้ใส่หน้ากากอนามัย แต่อเมริกันแขวนหน้ากากอนามัยไว้หน้ารถ หน้ากากอันหนึ่งใช้นานยันหลานบวช แถมบางคนหยิบมาขึงระหว่างมือสองข้าง แล้วไปเอารถเข็นช้อปปิ้ง ขึงคร่อมลงไปบนที่จับรถเข็น เห็นแล้วแทบเป็นลม
ร่ายมายาว เพียงอยากบอกให้รู้ว่า อย่าเพ้อฝันว่าอเมริกาจะมีมาตรการรักษาความสะอาดป้องกันโรคได้ยอดเยี่ยม เพราะแบบนี้คนไทยในอเมริกาอย่างผู้เขีย นเลยต้องป้องกันตัวเองอย่างแน่นหนา เพราะอยู่ในกลุ่มเสี่ยง มีโรคประจำตัวที่โควิดชอบถึงสองโรค คือ เบาหวานกับควาดัน แถมด้วยโรคอ้วน หนักกว่านั้นคือแก่อีกต่างห่าก
โชคดีที่ทำงานอยู่บ้าน แต่ก็ยังมีปัญหามากมาย อย่างการซื้ออาหารสดแห้ง คนไทยหลายคนไม่กล้าไปห้าง รวมทั้งผู้เขียนด้วย เลยสั่งอาหารสดออนไลน์ แล้วไปเปิดท้ายรับหน้าห้าง แบบนี้สะดวกดี แต่พนักงานที่นี่ช่วงแรกไม่ใส่หน้ากากไม่ใส่ถุงมือ ให้สันนิษฐานว่าทุกอย่างที่พนักงานจับต้องอาจปนเปื้อน เลยก่อนเปิดท้าย ใช้กระดาษเปียกแอลกฮอลล์เช็ดบริเวณที่พนักงานเปิดท้ายเพื่อเอาของใส่ จากนั้นก็เอาสเปรย์ฆ่าเชื้อ ในเมืองไทยนิยมแอลกฮอลล์ ที่นี่มีสเปรย์ที่ผ่านการรับรองว่าฆ่าเชื้อโคโรน่าได้อย่างไลซอล ใครไม่มีใช้เดทตอลผสมน้ำพ่นได้ ฉีดพ่นไปตรงหูหิ้วถุงทุกใบ
ใส่ถุงมือยางบางๆ แบบใช้แล้วทิ้ง ล้วงของสดแห้งมาเช็ดด้วยกระดาษเปียกฆ่าเชื้อ ผึ่งให้แห้ง แล้วลำเลียงเข้าบ้าน อย่านำถุงพลาสติกเข้าบ้านเด็ดขาด ให้ทำแบบเดียวกันนี้กับพัสดุหรือกล่องที่ไปรษณีย์มาส่ง หากเป็นกล่อง ให้ฉีดพ่นเสปรย์ฆ่าเชื้อให้ทั่ว ทิ้งไว้สองนาที แล้วใช้กรรไกรที่แยกไว้เฉพาะตัดกล่อง เอาของในกล่องมาเช็ดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้ออีกรอบ
กรณีที่ซื้อผักสดผลไม้สด จะล้างอย่างไรให้ปราศจากโควิด ทำได้ไม่ยาก แต่ใช้เวลานิดหนึ่ง มีคนเคยเขียนไว้ 4 วิธี เลยขอนำมาอ้างอิงไว้ด้วย แต่ผู้เขียนสะดวกใช้เบกกิ้งโซดาที่สุด เพราะแค่แช่แล้วล้างออกด้วยน้ำ ได้ผลเกือบร้อยเปอร์เซนต์แน่ะ
ล้างผักผลไม้วิธีแรก เทผักผลไม้ใส่กะละมัง แล้วเปิดน้ำรดแรงๆ วิธีนี้ป้องกันโควิดติดผิวเปลือกได้ 25-65 เปอร์เซนต์ หากยังไม่ชัวร์ มาดูวิธีที่สอง นั่นคือล้างด้วยน้ำส้มสายชู ที่เรามีอยู่ติดบ้านนั่นแหละ ผสมน้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะกับน้ำสี่สิตร ไอ้น้ำสี่ลิตรนี่ขนาดไหนวะ หลายคนก็สงสัย ไปหาขวดน้ำอัดลมลิตรมาเลยจ้ะ แล้วจุน้ำไปสี่หน แช่ผักผลไม้ไว้ 10 นาที แล้วล้างน้ำเปล่าอีกรอบ ป้องกันได้ 65 เปอร์เซนต์
ล้างผักสดผลไม้วิธีที่สาม อันนี้ฝรั่งนิดๆ ใครที่ทำขนมอบขนมเบเกอรี่ต้องมีเบกกิ้งโซดา วิธีนี้เริ่ดจริงไรจริง เพราะป้องกันได้ 90-95 เปอร์เซนต์ เอาเบกกิ้งโซดาครึ่งช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 10 ลิตร แช่ผักผลไม้ 15 นาทีแล้วล้างน้ำเปล่าอีกรอบ ส่วนวิธีสุดท้ายนั้นโบราณหน่อย แต่ยังได้ผลอยู่นะ ใช้ด่างทับทิมไง เอาเกร็ดไอโอดีน 4-5 เกล็ด ผสมน้ำ 5 ลิตร แช่ไว้ครึ่งชั่วโมงในอุณหภูมิห้อง สะดวกแบบไหน จัดไปเลย
ล้างผักผลไม้เสร็จ เรื่องล้างมือก็สำคัญ ล้างไปนับไป นับ 1-20 ล้างมืออย่างน้อย 20 วินาที หรือถ้าใช้เจล ถูมือให้ทั่ว แล้วอย่าเพิ่งหยิบจับอะไร นับไปเลย 1-20 แล้วค่อยจับโน่นนี่ ล้างมือทุกครั้งก่อนกินอะไร เวลาสั่งอาหารออนไลน์ ส่วนมากจะบอกให้แขวนไว้หน้าบ้าน ก่อนจับถุงอาหารที่แขวนไว้ สเปรย์แอลกฮอลล์ก่อน แล้วอย่าเพิ่งจับทันที รอสักพัก เพื่อความชัวร์ก็นับ 1-20 เหมือนเดิม เมื่อจับถุงแล้ว หันไปสเปรย์บริเวณที่แขวนถุงอาหารตามเพื่อความมั่นใจ ไร้กังวล แกะถุงอาหารใส่ชามแล้ว ล้างมือหรือใช้เจลอีกรอบ จากนั้นก็นำไปอุ่นให้ร้อน ล้างมือหรือใช้เจลก่อนกิน จะกี่รอบก็ต้องทำ ให้คิดไว้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างปนเปื้อนได้หมด
สำหรับคนที่ทำงานนอกบ้านทุกวัน เวลาออกนอกบ้าน มัดผมใส่หมวกแน่นหนา เลิกใช้กระเป๋าหนัง หันมาใช้ถุงผ้าที่มีขวดสเปรย์ กระดาษเปียกฆ่าเชื้อ ขวดเจล ใส่ไว้ข้างในแทน ให้ถอดเสื้อผ้าทันทีที่กลับถึงบ้าน หาตะกร้าตั้งไว้หน้าบ้าน พอก้าวเข้าบ้านปุ๊บ ถอดทันที หรือชอบโชว์ อยากถอดหน้าบ้านโชว์ก็ตามใจ เอาเสื้อผ้าใส่ตะกร้า แยกไว้ ซักได้เลยยิ่งดี สระผมอาบน้ำให้สะอาด
อย่าให้คนแปลกหน้าเล่นกับหมาที่บ้าน โดยเฉพาะเอื้อมมือมาลูบหัว เพราะเราไม่รู้หรอกว่ามือนั้นมีเชื้อโควิดไหม ยิ่งหมานอนบนเตียงกับเรายิ่งน่าห่วง หากพาหมาไปเดินเล่น พอกลับมา ให้เช็ดอุ้งเท้าหมาด้วยกระดาษเปียกแอลกฮอลล์
บางคนหลีกเลี่ยงการใช้บัตรเอทีเอ็มหรือบัตรเครดิตไม่ได้ เวลาใช้เสร็จ ให้เช็ดด้วยกระดาษเปียกแอลกฮอลล์ หรือบางคนกลัวบัตรเสีย ให้แยกบัตรเหล่านี้ใส่ถุงซิปล็อค อย่านำกลับไปใส่กระเป๋าสตางค์ พอถึงบ้านก็ล้างด้วยน้ำกับสบู่ประมาณ 1 นาที แล้วผึ่งให้แห้ง
อยากแนะนำให้คนไทยในเมืองไทยปลูกผักสดไว้กินเอง ที่แคบๆ ตรงระเบียงก็ปลูกได้ หากระถางวางเรียงหน่อย นอกจากได้กินผักสดไม่ปนเปื้อนแล้ว ยังช่วยรักษาอาการ ปสด. ได้ดีมาก เพราะตอนนี้ทุกคนเริ่มมองหน้ากันอย่างระแวง ไม่รู้ว่าใครติดไม่ติด หมกมุ่นกับการปลูกผักดีกว่าชี้หน้าด่ากันเป็นไหนๆ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี