ขณะที่ผู้นำอเมริกาทำหน้าใหญ่ใจป๋ากลางสนามรบยูเครนหันมาดูพลเมืองอเมริกันบ้าง ตอนนี้ต่างร้องโอดโอยระงม เพราะราคาหมูไก่ เนื้อ ซึ่งเป็นอาหารพื้นฐานในการกินอยู่ทุกครัวเรือนไม่ว่าจะผิวสีอะไรเชื้อชาติไหนยังราคาสูงลิ่วนี่ยังไม่นับราคาน้ำมันที่แพงกระฉูดอย่างชนิดที่เรียกว่าราคาแพงขึ้นเกือบเท่าตัวผู้เขียนนั้นใช้รถอเมริกันขนาดกลาง ปกติเติมเต็มถังนี่ประมาณ 30ดอลลาร์ มาหนนี้เติมเต็มถังพุ่งไป 50 ดอลลาร์กว่าๆ ยังดีที่ทำงานที่บ้านไม่ต้องขับรถไปทำงานเหมือนชาวบ้าน อดนึกถึงเพื่อนๆทั้งไทยทั้งอเมริกันที่ต้องขับรถข้ามเมืองไปทำงานไม่ได้
เห็นราคาน้ำมันแล้วถอนใจแทน
ขณะที่อเมริกันกำลังรัดเข็มขัดกันจนเอวกิ่วพลันต้องตกใจทั้งประเทศ ที่เจอเหตุการณ์กราดยิงรัวๆที่นั่นที่นี่ในอาทิตย์เดียวกันหลายคนบอกว่ายังไม่ชินอีกเหรอกับการที่มีไอ้บ้าแบกปืนเดินดุ่มๆเข้าไปกราดยิงคนในห้างหรือในโรงเรียน ขอบอกเลยว่าถึงจะเกิดขึ้นบ่อยๆ
แต่ยังตกใจและเศร้าเสียใจทุกครั้งที่เกิดขึ้นแต่ที่น่าห่วงคือการกราดยิงเลวร้ายลงไปเรื่อยๆและการกราดยิงที่เกิดขึ้นมีการเลือกนำเสนอ เช่นหากมีการกราดยิงในชุมชนคนเอเซียหรือผู้ก่อเหตุเป็นคนผิวดำยิงคนเอเซียเรื่องนี้มักไม่ถูกนำมาเสนอในข่าวกระแสหลักยกเว้นปรากฎในข่าวชุมชนชาวเอเซียในอเมริกาเท่านั้น
ดูเหมือนว่าชาวเอเซียกลายเป็นเป้าสังหารและทำร้ายเพื่อชิงทรัพย์ในหมู่คนผิวสี แทบทุกครั้งที่มีการเสนอข่าวว่า คนเอเซียถูกทำร้ายและถูกปล้นผู้ก่อเหตุเป็นคนผิวสีทั้งสิ้น ในข่าวทั่วไปไม่ระบุเชื้อชาติว่าผิวสีอะไร แต่สำหรับคนที่อยู่อเมริกามานานแค่ดูชื่อก็เดาได้ว่าคนนั้นคนนี้เชื้อชาติและสีผิวอะไร
อาทิตย์ก่อนชายผิวดำคนหนึ่งบุกเข้าไปในร้านทำเล็บของชาวเอเซียในโคเรียทาวน์ที่ดัลลัส เท็กซัสแล้วกราดยิงใส่ช่างทำเล็บชาวเอเซียในร้านบาดเจ็บสามคน เชื่อไหมว่าข่าวนี้แทบไม่ถูกนำเสนอในข่าวกระแสหลักเลยด้วยซ้ำหลายคนอาจงงว่า ทำไมคนผิวดำถึงจ้องหาเหยื่อที่เป็นคนเอเซียอยากจะเล่าว่ามีศิลปินฮิปฮอป YG เขียนเพลงต่อต้านคนเอเซียไอ้ต่อต้านนี่ก็หนักแล้ว ในเนื้อเพลงมีการยุให้บุกปล้นบ้านคนเอเซียด้วยสิแล้วดันมีคนผิวดำปล้นคนเอเซียจริงๆจนกลายเป็นเรื่องที่คนเอเซียในอเมริกาต้องระแวดระวังเอาเองอย่างอกสั่นขวัญแขวน
ไอ้เพลงที่ว่านี้คือเพลง "Meet the Flockers" คำว่า "Flockers"คือคำเรียกโจร ผู้เขียนเคยฟังเพลงนี้แล้วขนลุก เพราะแนะคนฟังว่าถ้าคิดจะปล้น ให้ปล้นบ้านพวกเอเซียสิพวกนี้ชอบเก็บเงินสดและเครื่องประดับในบ้าน รื้อลิ้นชักควานหาของที่ดูไม่น่าจะเป็นที่ซ่อนเงินนั่นแหละ แล้วจะเจอเองบอกเลยว่าฟังแล้วกลุ้มใจเป็นบ้า เลยมีการประท้วงยูทูปให้ยุติการเผยแพร่แต่ยูทูปปฎิเสธ
ควันปืนแถวดัลลัสยังไม่ทันจางเกิดการกราดยิงขึ้นอีกในเมืองบัฟฟาโล รัฐนิวยอร์ก ไอ้หนุ่มผิวขาววัยแค่18 ปี ไม่รู้เกิดคลั่งอะไรขึ้นมา ลงทุนขับรถจากเมืองที่ตัวเองอยู่มาที่เมืองบัฟฟาโล่ ซึ่งห่างออกไปถึง 200 ไมล์หรือ 320 กิโลเมตรพอมาถึงห้าง Tops Friendly Market ไอ้นี่เปิดฉากยิงใส่ผู้คนที่เดินไปมานอกห้างตายไป 4 คนแล้วพุ่งเข้าห้างไปยิงยามรักษาความปลอดภัยจากนั้นแจกความตายไม่จำกัดรัวๆปืนที่ใช้ก่อเหตุคือปืนไรเฟิลแถมขณะที่ยิงคนตายก็ถ่ายทอดสดไปด้วย
สรุปว่ายิงไป 13 คน เป็นคนผิวดำ 11 คน และผิวขาว 2 คนจากนั้นไอ้หนุ่มบ้าเลือดก็มอบตัว คนที่เห็นเหตุการณ์เล่าว่าได้ยินเสียงปืนรัวประมาณ 70 นัด สตีเฟน เบลอนเกียเจ้าหน้าที่พิเศษของเอฟบีไอเปิดเผยว่า เหตุโจมตีครั้งนี้จะถูกสืบสวนทั้งในฐานะอาชญากรรมจากความเกลียดชัง และในฐานะการลงมือของพวกหัวรุนแรงที่มีแรงจูงใจทางผิวสีพูดง่ายๆ แบบบ้านๆ คือ ไอ้หมอนี่เกลียดคนผิวดำนั่นแหละที่ลงทุนขับรถมาไกลเพราะจะจัดหนักคนผิวดำให้สาแก่ใจ ไม่บอกก็รู้ว่าหนุ่มคนนี้เป็นสมาชิกกลุ่มคลั่งขาว (White Supremacist)อ่าข่าวนี้ได้แต่ทำตาปริบๆ ว่า คนขาวล่าคนดำ คนดำไล่ฆ่าคนเอเซียแลดูสนุกสนานกันใหญ่ แต่คนที่อยู่อาศัยที่นี่ไม่สนุกด้วยหรอกเรื่องนี้ขอเล่าแถมในอเมริกามีเมืองหนึ่งได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่เหยียดผิวมากที่สุดในอเมริกา นั่นคือเมืองแฮร์ริสัน รัฐอาร์คันซอ เป็นเมืองที่มีคนผิวขาวอาศัยอยู่ราว95% และเป็นหนึ่งในเมืองที่มีชาวผิวขาวมากที่สุดในอเมริกาแต่เชื่อเถอะ เมืองแนวนี้มีแทรกอยู่ทุกรัฐแหละเพิ่งคุยกับเพื่อนคนไทยในเมืองที่อาศัยอยู่ในรัฐอินเดียน่าด้วยกันว่าเมืองถัดไปนี่เป็นเมืองที่เหยียดผิวสุดโต่ง เวลาขับรถผ่านหรือแวะซื้อของจะรู้สึกได้ทันทีถึงความ “คลั่งขาว” เมืองที่ว่านี้ชื่อเมืองโอเซียโอล่า
จำได้ขึ้นใจว่าพลเมืองที่นั่นถึงขนาดขึ้นป้ายประกาศว่าไม่ต้อนรับคนผิวดำและคนเอเซียคือปักป้ายบอกหราหน้าบ้านอย่างชัดเจนเลยทีเดียว
ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายก็แทรกขณะกำลังเขียนคอลัมน์นี้พลันต้องกุมขมับเพิ่งเขียนเล่าว่า อาทิตย์นี้มีคนผิวดำบุกร้านเสริมสวยเอเซียกราดยิงผู้หญิงเอเซียในร้าน พอวันรุ่งขึ้นชาวผิวขาวบุกเข้าไปกราดยิงคนผิวดำในซุปเปอร์มาร์เก็ตที่เมืองบัฟฟาโล่นิวยอร์ก หมาดๆ วันนี้เลย มีการกราดยิงในโบสถ์คริสเตียนเมืองลากูนาวูดส์ ใกล้ลอสแองเจลิส ตาย 1 ราย บาดเจ็บ 5 รายเหยื่อทั้งหมดเป็นชาวไต้หวัน ส่วนมือปืนนั้นเป็นคนเอเซียแต่ไม่ระบุเชื้อชาติ แถมไม่ได้อยู่ในพื้นที่นั้นด้วยแสดงว่าตั้งใจขับรถมายิงนั่นแหละ
เคที พอร์เตอร์ ส.ส.สังกัดพรรคเดโมแครตแสดงความเห็นว่าเหตุกราดยิงนี้เป็นข่าวที่รบกวนจิตใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังเกิดขึ้นหลังการกราดยิงในเมืองบัฟฟาโล รัฐนิวยอร์กไม่ถึงหนึ่งวัน และทิ้งท้ายว่า เหตุการณ์แบบนี้ไม่ควรยอมรับถือเป็น“ความปกติใหม่” สำหรับอเมริกาแต่เรื่องไม่ปกติแบบนี้กลายเป็นความปกติไปแล้วในสังคมอเมริกา
งั้นมาดูนิยามของการกราดยิงของหน่วยงานอย่างเอฟบีไอกันการกราดยิง (Mass Shooting)คือต้องมีผู้ถูกยิงในเหตุการณ์เดียวกัน 4 คนขึ้นไป รวมถึงตัวผู้ก่อเหตุได้ด้วย สามารถก่อการได้ตั้งแต่ 1 คนขึ้นไปแต่ส่วนมากมักพบว่ากระทำการเพียงลำพังคนส่วนมากมักคิดว่ามือปืนมีอาการป่วยทางจิตแต่จากงานศึกษาของมหาวิทยาลัยโคลอมเบียพบว่ามือปืนผู้ก่อเหตุนั้นส่วน
ใหญ่ไม่ได้มีปัญหาป่วยทางจิตงั้นการเล่นเกมส์ที่เต็มไปด้วยความรุนแรงล่ะเป็นมูลเหตุนำไปสู่การกราดยิงด้วยหรือเปล่า จากงานสำรวจของมหาวิทยาลัยโคลัมเบียพบว่าไม่มีความสัมพันธ์ใดเลยระหว่างเกมส์และเหตุการณ์กราดยิงแน่นอนว่าการเล่นเกมส์ต่างๆ อาจจะทำให้เด็กมีพฤติกรรมที่ก้าวร้าวขึ้นแต่มันไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้คนๆ หนึ่งลุกขึ้นไปยิงคนอื่นแน่นอนแต่จากผลการศึกษาพบว่า การที่ให้เด็กสัมผัสกับความรุนแรงจริงๆเป็นส่วนหนึ่งของการกราดยิง การซื้อของเล่นปืนและการพาไปล่าสัตว์ทำให้เด็กเรียนรู้ความรุนแรงในการใช้อาวุธแต่ทั้งหมดทั้งมวลล้วนไม่ใช่เหตุผลหลักดังนั้นเราจะสรุปว่าเด็กที่ชอบเกมรุนแรงหรือเด็กที่พ่อพาไปล่าสัตว์ เมื่อโตขึ้นจะกลายเป็นฆาตกรกราดยิงก็ไม่ถูกเสียทีเดียวแต่การถูกเหยียดหยาม กลั่นแกล้ง ล้อเลียน ถูกกีดกันจากสังคม
หรือที่เรียกว่า การบุลลี่ (Bully) ในปัจจุบันคือสาเหตุสำคัญในการกระตุ้นให้เกิดเหตุการยิงกราด
สถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐระบุว่า อเมริกาเป็นประเทศที่มีอัตราการเกิดเหตุกราดยิงเพื่อสังหารหมู่เป็นจำนวนมากครั้งที่สุดในโลก คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 1 ใน 3ของเหตุกราดยิงทั้งหมดที่เกิดขึ้นบนโลก ไม่แปลกหรอกเพราะอเมริกาเป็นประเทศที่มีจำนวนอาวุธปืนหมุนเวียนในตลาดมากที่สุดในโลก อยู่ที่ประมาณ 270-310 ล้านกระบอกเทียบกับจำนวนประชากรทั้งประเทศอยู่ที่ราว 319 ล้านคนซึ่งหมายความว่าชาวอเมริกันแทบทุกคนมีปืนเป็นของตัวเองอย่างน้อยคนละ 1 กระบอกไม่รู้ว่าโศกนาฎกรรมเช่นนี้จะจบลงเมื่อไหร่เหมือนไม่สามารถหาความปลอดภัยใดๆ ได้ไม่ว่าจะทั้งในเมืองเล็กและเมืองใหญ่ เพราะความรัก ความชัง
ความบ้าคลั่งไม่เข้าใครออกใครกระสุนจากความเกลียดชังอาจปลิวมาฝังร่างได้ทุกเมื่อเวลาเกิดเหตุร้ายเช่นนี้ ในใจมักแว่วเสียงเพลง The Star-Spangled Banner อันเป็นเพลงชาติอเมริกาขึ้นมาทุกที โดยเฉพาะท่อนสุดท้าย Tis the star-spangled banner: O, long may it wave O’er the land of the free and the home of the brave! นี่คือธงประกายดาวอันพราวพลิ้วไสว..โอ้..ธงจะโบกสะบัดตราบนิรันดร์บนแผ่นดินแห่งเสรีและที่พำนักแห่งความหาญกล้า..เนื้อเพลงฟังดูเหมือนนิทานที่เอาไว้หลอกเด็กอย่างไรอย่างนั้นเลย..เพราะภาพที่เห็นและเป็นอยู่ในอเมริกาทุกวันนี้ หาได้เป็นเช่นนั้นแม้แต่น้อยการแจกจ่ายความตายให้คนอื่น..ไม่ใช่ความกล้าหาญแต่คือความขี้ขลาดอันน่าละอายต่างหากคำถามที่ค้างคาในหัวใจอเมริกันชนเวลานี้คือ เราจะอยู่กันอย่างไรท่ามกลางความเกลียดชังระหว่างเชื้อชาติเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขัดกับอุดมการณ์แบบอเมริกันอย่างร้ายแรงเพราะพื้นฐานความเชื่อแบบอเมริกาคือ ความเชื่อเรื่องสิทธิ เสรีภาพและความเท่าเทียม..มิใช่หรือ
.................................................................
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี