วันที่เขียนต้นฉบับคอลัมน์นี้เป็นวันหยุด นั่นคือวันชาติอเมริกา เลยอยากเล่าเรื่องเบาๆ สู่กันฟัง เพราะสถานการณ์ในอเมริกาตอนนี้ไม่ได้น่ารื่นรมย์นัก ไม่ว่าจะน้ำมันแพง สินค้าแพง แถมของจำเป็นหลายอย่างขาดตลาด เลยขอพักเบรคมาเล่าเรื่องเบาๆ สู่กันฟังดีกว่า
ก่อนหน้าที่ฝรั่งอั้งม้อจะอพยพโยกย้ายมาปล้นแผ่นดินที่เรียกว่า “อเมริกา” ในปัจจุบัน ที่สี่เป็ฯบ้านของอินเดียนแดงหลายเผ่า หลังการค้นพบทวีปใหม่ ชาวยุโรปแทบทุกชาติต่างกรูเข้าไปสำรวจแล้วปักป้ายแสดงความเป็นเจ้าของแผ่นดินต่อหน้าต่อตาอินเดียนแดง ผู้อยู่อาศัยดั้งเดิมตั้งแต่แคนาดาไปยันอเมริกากลางและอเมริกาใต้ล้วนถูกปักป้าย “จอง”จนหมดสิ้น แต่ที่ลงหลักปักฐานกันหนาแน่นเห็นจะเป็นอังกฤษที่ก่อตั้งอาณานิคม 13 แห่งบนแผ่นดินแห่งนี้สำเร็จ
อังกฤษไม่ได้ปกครองอาณานิคมอย่างเป็นธรรม ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างชาวอาณานิคมกับแผ่นดินใหญ่ตลอดมาจนกลายเป็นปัญหาสะสมบ่มเพาะความคับแค้นโดยตลอดแถมปกครองอาณานิคมแบบทวงบุญคุณ เพราะรัฐบาลอังกฤษนั้นคิดว่าอาณานิคมเหล่านี้เกิดขึ้นได้เพราะอังกฤษ จึงจำเป็นต้องทดแทนบุญคุณ โดยการเอื้อผลประโยชน์ให้อังกฤษเพียงฝ่ายเดียว นั่นคือชาวอาณานิคมจะต้องผูกขาดการค้ากับอังกฤษเท่านั้น ห้ามค้าขายกับชาติอื่นเด็ดขาด อีกทั้งยังต้องปลูกพืชตามที่อังกฤษต้องการ ห้ามผลิตสินค้าแข่งกับอังกฤษ ที่สำคัญ เมื่อประเทศแม่ผลิตอะไรมาขาย ชาวอาณานิคมก็ต้องซื้อทั้งหมด สรุปง่ายๆคืออาณานิคมทั้ง 13 แห่งถูกรัฐบาลอังกฤษมัดมือชกนั่นเอง
ในปี ค.ศ.1764 รัฐสภาอังกฤษออกกฎหมายสำคัญ 2 ฉบับที่ส่งผลกระทบต่อชาวอาณานิคม นั่นคือกฎหมายน้ำตาลและกฎหมายเงินตรา หลักใหญ่ใจความสำคัญของกฎหมายน้ำตาลคือ การหาเงินเข้ากองทัพอังกฤษ โดยต้องการให้ชาวอาณานิคมหยุดลักลอบค้าขายกับสเปนและฝรั่งเศส สาระสำคัญของกฎหมายน้ำตาลคือ เก็บกาษีอ้อย น้ำตาล และกากน้ำตาลที่นำเข้าอาณานิคม แถมยังให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่อังกฤษในการตรวจค้นเรือสินค้า คลังสินค้า หรือร้านค้าของชาวอาณานิคมที่ต้องสงสัยว่าค้าขายกับสเปนและฝรั่งเศส
ส่วนสาระสำคัญของกฎหมายเงินตราคือ การออกกฎให้ชาวอาณานิคมใช้ทองคำหรือเงินซื้อสินค้าจากอังกฤษเพื่อจับจ่ายใช้สอยแทนการใช้ธนบัตร สร้างความไม่พอใจอย่างรุนแรงแก่บรรดาชาวอาณานิคม เนื่องจากชาวอาณานิคมไม่มีทองคำหรือเงินมาแลกเปลี่ยนกับสินค้าของพวกอังกฤษ
กระนั้นชาวอังกฤษยังสร้างความโกรธแค้นให้ชาวอาณานิคมไม่หยุดหย่อน ด้วยการออกกฎหมายใหม่อีก 2 ฉบับในปีรุ่งขึ้นคือ ปี ค.ศ.1765 กฎหมายทั้งสองฉบับนั้นคือ กฎหมายอากรแสตมป์และกฎหมายเลี้ยงดูทหารอังกฤษ จุดมุ่งหมายสำคัญของกฎหมายทั้งสองฉบับก็ไม่ต่างกับการออกกฎหมายฉบับก่อนหน้า นั่นคือต้องการนำเงินของชาวอาณานิคมไปสนับสนุนกองทัพเรืออังกฤษ
หลักสำคัญของกฎหมายแสตมป์คือบังคับให้ชาวอาณานิคมต้องติดอากรแสตมป์ของอังกฤษในธุรกิจและสินค้าทุกประเภท ส่วนกฎหมายเลี้ยงดูทหารอังกฤษนั้นชื่อตัวบทกฎหมายก็ชัดเจนอยู่แล้วว่านำไปเลี้ยงดูปูเสื่อทหารอังกฤษ โดยกำหนดว่าให้ชาวอาณานิคมจัดหาที่พักพร้อมอาหารให้แก่ทหารอังกฤษที่เข้าไปประจำการในอาณานิคม
กฎหมายทั้ง 4 ฉบับสร้างความโกรธแค้นแก่ชาวอาณานิคมอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในส่วนของกฎหมายแสตมป์ มีการรวมตัวกันของชาวอาณานิคมที่นิวยอร์กเพื่อยื่นข้อเรียกร้องต่อกษัตริย์จอร์จที่ 3 ให้ยกเลิกกฎหมายฉบับนี้ พร้อมทั้งทวงสิทธิในการส่งตัวแทนจากอาณานิคมเข้ารัฐสภาในอังกฤษ ความไม่พอใจขั้นรุนแรงเช่นนี้ทำให้เกิดการรวมกลุ่มชาวอาณานิคมที่เรียกตัวเองว่า “บุตรแห่งเสรีภาพ” หรือ Son of Liberty
บุตรแห่งเสรีภาพประท้วงอย่างรุนแรงด้วยการเผาอากรแสตมป์และทำร้ายชาวอาณานิคมที่สนับสนุนอังกฤษ การประท้วงนี้มีแนวร่วมเกิดขึ้นมากมาย พ่อค้านิวยอร์ก บอสตัน และฟิลาเดลเฟียรวมตัวกันไม่ซื้อสินค้าจากอังกฤษ สุดท้ายทางการอังกฤษต้องยกเลิกกฎหมายแสตมป์ไปในปีเดียวกันนั้นเอง
ต่อมาในปี ค.ศ.1766 มีการออกกฎหมายอีกฉบับคือ กฎหมายทาวน์เซน ที่ตั้งชื่อตามรัฐมนตรีกระทรวงการคลังในเวลานั้นคือ ชาร์ล ทาวน์เซน ผู้ต้องการรีดนาทาเร้นชาวอาณานิคมมากขึ้นเพื่อนำเงินมาสู่อังกฤษ หลักสำคัญของกฎหมายฉบับนี้คือ เก็บภาษีสินค้าจำเป็นที่นำเข้ามาในอาณานิคม สินค้าเหล่านี้คือเครื่องอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวัน เช่น ชา กระดาษ แก้ว สี และตะกั่ว เงินภาษีที่เก็บได้ก็ให้นำไปจ่ายข้าหลวงอังกฤษในอาณานิคมนั่นเอง นอกจากนี้ยังให้อำนาจข้าหลวงและเจ้าหน้าที่อังกฤษในการตรวจค้นทุกหนแห่ง ไม่ว่าจะเป็นบ้าน ร้านค้า คลังสินค้าหรือเรือสินค้า หากสงสัยว่ามีสินค้าหนีภาษีซ่อนอยู่
ชาวอาณานิคมเจอกฎหมายกดขี่ข่มเหงหลายฉบับติดต่อกันมาหลายปีก็ทนไม่ได้ จึงต่อต้านอังกฤษอย่างชัดเจน เริ่มต้นที่อาณานิคมบอสตันประกาศว่าจะไม่ซื้อสินค้าจากอังกฤษ จากนั้นอาณานิคมอื่นๆ ก็ประท้วงด้วยการไม่ซื้อสินค้าของอังกฤษเช่นกัน
ต่อมารัฐบาลอังกฤษยกเลิกกฎหมายทาวน์เซน แต่กลับออกกฎหมายใบชา ปี ค.ศ. 1770 มาแทน ซึ่งกฎหมายใบชานี้เก็บภาษีใบชาที่นำเข้าอาณานิคม ชาวอาณานิคมเลยใช้วิธีการเลี่ยงด้วยการซื้อสินค้าจากอังกฤษ แต่ไม่ยอมซื้อใบชาจากอังกฤษ แล้วหันไปซื้อใบชาจากดัทช์แทนเรื่องนี้สร้างความตึงเครียดระหว่างกันเรื่อยมา จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า “บอสตัน ที ปาร์ตี้” (Boston Tea Party)ในวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ.1773 ชาวอาณานิคมบอสตันราว 100 คนปลอมตัวเป็นอินเดียนแดงบุกขึ้นเรือสินค้า 3 ลำของรัฐบาลอังกฤษ จากนั้นโยนหีบใบชา 342 หีบทิ้งทะเลความไม่พอใจของชาวอาณานิคมทำให้เกิดการรวมตัวกันของอาณานิคม 12 แห่ง ขาดไปเพียงอาณานิคมจอร์เจียเท่านั้น ทั้ง 12 อาณานิคมร่วมประชุมกันที่ฟิลาเดลเฟีย และการประชุมในครั้งนี้ถือเป็นบันไดขั้นแรกที่นำไปสู่การปฎิวัติในเวลาต่อมา
จากนั้นมีการประชุมสภาแห่งทวีปครั้งที่ 2 ที่ฟิลาเดลเฟีย แต่หนนี้ชาวอาณานิคมลงความเห็นตรงกันว่าควรแยกตัวออกจากอังกฤษ โดยทั้งสิบสามอาณานิคมจะรวมตัวกันเป็นสมาพันธ์อาณานิคม จากนั้นก็มีการส่งข่าวถึงชาวอาณานิคมทุกคนให้ร่วมมือ และจัดตั้งกองกำลังแห่งทวีปขึ้นเพื่อต่อสู้กับอังกฤษ มีจอร์จ วอชิงตันเป็นผู้บังคับบัญชาการกองกำลังแห่งทวีป
ในปี ค.ศ.1776 ฝรั่งเศสและสเปนตัดสินใจเป็นพันธมิตรร่วมรบอังกฤษกับฝ่ายอาณานิคมอย่างลับๆ จอร์จ วอชิงตันจึงส่งกองกำลังแห่งทวีปไปขุดสนามเพลาะที่เนินเขาดอร์เชสเตอร์ไฮทส์ เพราะสามารถบุกโจมตีท่าเรือบอสตันได้ จากนั้นก็ระดมยิงเรืออังกฤษเสียหายเป็นจำนวนมาก ทำให้นายพลอังกฤษถึงกับถอยร่นไม่เป็นกระบวน ทั้งแม่ทัพและทหารสองหมื่นกว่าคนหนีตายไปนิวยอร์ก ทิ้งข้าวของไว้เกลื่อนท่าเรือ ยกนี้ทางฝ่ายกองกำลังแห่งทวีปหรือฝ่ายอาณานิคมเป็นฝ่ายชนะ
สภาอาณานิคมตั้งคณะกรรมการร่างคำประกาศเอกราช ( The Declaration of Independence) มีเบนจามิน แฟรงคลิน จอห์น อดัม โรเจอร์ เชอร์แมน ฟิลิป ลิฟวิงสโตน และโทมัส เจฟเฟอร์สัน เป็นคนร่างคำประกาศเอกราช แต่โทมัส เจฟเฟอร์สันเป็นคนร่างประกาศฉบับนี้เป็นส่วนใหญ่
จากนั้นก็นำเสนอต่อสภาอาณานิคมและมีผลบังคับใช้วันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ.1776 สภาอาณานิคมประกาศว่าอาณานิคมทั้ง 13 แห่งไม่ขึ้นต่ออังกฤษอีกต่อไป แยกตัวออกเป็นประเทศโดยสมบูรณ์ ใจความสำคัญท่อนหนึ่งของประกาศเอกราชกลายเป็นวาทะที่มีชื่อเสียงและนิยมนำมาอ้างอิงจนกระทั่งปัจจุบัน นั่นคือ
“เราถือว่าความจริงต่อไปนี้เป็นสิ่งประจักษ์แจ้งอยู่ในตัวเอง นั่นคือมนุษย์ทุกคนถูกสร้างขึ้นมาอย่างเท่าเทียมกัน พระผู้สร้างได้มอบสิทธิบางประการที่จะเพิกถอนมิได้ไว้ให้แก่มนุษย์ ในบรรดาสิทธิเหล่านั้นได้แก่ ชีวิต เสรีภาพและการแสวงหาความสุข”
ประโยคนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในประโยคที่รู้จักกันดีที่สุดในภาษาอังกฤษ เป็นคำที่มีอำนาจและผลกระทบมากที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกัน
อังกฤษปกครองอเมริการวมทั้งสิ้น 169 ปี คือตั้งแต่ปี ค.ศ1607-1776 หรือรัชสมัยของพระเจ้าเจมส์ที่ 1 จนถึงพระเจ้าเจมส์ที่ 3 หลังประกาศเอกราชในวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ.1776 และลงนามในสนธิสัญญาปารีส 1783 นับจากนั้นเป็นต้นมา โลกก็รู้จักดินแดนแห่งนี้ว่า “สหรัฐอเมริกา”
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี