เรื่องบางเรื่องก็ไม่ควรพูดให้กลายเป็นประเด็นบาดหมางน้ำใจกัน อาทิตย์ที่ผ่านมา ลุงโจ ไบเดน ไปเยือนญี่ปุ่น เพื่อร่วมประชุมกลุ่มประเทศ G7 ในฮิโรชิมา ซึ่งชาวโลกรู้ว่าทั้งฮิโรชิมาและนางาซากิคือสองเมืองที่อเมริกาประเคนระเบิดปรมาณูให้แบบจัดเต็ม เรื่องนี้เป็นความสะเทือนใจที่โลกลืมไม่ลงและไม่มีวันลืม โดยเฉพาะครอบครัวผู้สูญเสียนับล้านๆ คน
ในฐานะผู้นำประเทศ เวลาให้สัมภาษณ์สื่อ อย่าให้บางคำพูดหลุดออกไปสร้างความชิงชังฝังลึกหรือความสะเทือนใจดีกว่าไหมล่ะ ลุงโจ ไบเดน จะไปเยือนอนุสรณ์สถานสันติภาพในจังหวัดฮิโรชิมา ชาวโลกเลยอยากรู้ว่าลุงโจ จะแสดงความเสียใจหรือกล่าวอะไรบ้างไหน แต่ซอรี่จ้าเพราะคำตอบคือ “ไม่”
นั่นคือจะไม่มีการออกแถลงการณ์ขอโทษต่อเหตุที่เกิดขึ้น ในการใช้ระเบิดปรมาณูเพื่อทำให้ญี่ปุ่นยอมจำนนเพื่อยุติสงครามโลก ครั้งที่ 2
ไบเดน เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 2 ในประวัติศาสตร์ที่เดินทางไปฮิโรชิมา และพบกับเหยื่อระเบิดนิวเคลียร์สหรัฐฯ ก่อนหน้านั้นอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา เป็นผู้นำสหรัฐฯคนแรกที่ไปเยือนฮิโรชิมา
เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงประจำทำเนียบขาว ยืนยันว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯจะไม่ออกแถลงการณ์ที่สวนรำลึกสันติภาพ (Peace Memorial Park) จริงๆ แล้วลุงโจน่าจะแสดงความเสียใจบ้างไรบ้างนะเพราะนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนปัจจุบัน ฟูมิโอ คิชิดะ นั้นมาจากจังหวัดฮิโรชิมา
นักการเมืองญี่ปุ่นหลายคนเรียกร้องให้วอชิงตันขออภัยต่อการใช้นิวเคลียร์โจมตี หลายคนอาจจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงเวลานั้น บอกตรงๆ เลยว่าแม้กาลเวลาจะผ่านมาหลายสิบปี แต่เรื่องนี้คือบาดแผลในใจคนญี่ปุ่นทั้งปวง
วันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ.1945 เป็นวันที่ลุงแซมโจมตีเมืองนางาซากิ ด้วยการนำระเบิดปรมาณูชื่อ “ไอ้อ้วน” หรือ Fat Man ไปหย่อนใส่เป็นการสั่งสอนและล้างแค้น โทษฐานที่พี่ยุ่นลอบถล่มเพิร์ลฮาเบอร์แบบอหังการ์ก่อนหน้านั้น การบินไปถล่มเพิร์ลฮาเบอร์เท่ากับว่าเป็นการฟาดกบาลลุงแซมอย่างจัง เพราะผลจากการทิ้งระเบิดหนนั้น ทำให้ผู้คนตายเป็นเบือ โดยเฉพาะทหารอเมริกัน จนคนอเมริกันเคียดแค้นแสนสาหัส พาลเกลียดคนญี่ปุ่นอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู สื่อมวลชนป้ายสีให้ผู้นำฝ่ายอักษะดูน่าเกลียดน่ากลัวผิดมนุษย์ เป็นการโฆษณาชวนเชื่อแทบทุกวัน
ก่อนหน้าที่ลุงแซมจะถล่มทั้งฮิโรชิมาและนางาซากิก็ปูพรมทิ้งระเบิดเพลิงตามเมืองต่างๆ 67 เมือง ของญี่ปุ่นอย่างหนักหน่วงเป็นเวลาติดต่อกันถึง 6 เดือน จนแทบไม่เหลือดี ต่อมาลุงแซมถือโอกาสทดลองทางการทหารแบบจัดหนัก จึงงัดระเบิดนิวเคลียร์ที่มีชื่อเล่นเรียกว่า “พ่อหนูน้อย” หรือ “Little Boy” แต่พิษสงแสบทรวงเหลือรับไปถล่มใส่เมืองฮิโรชิมา ในวันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม ค.ศ.1945
ตามด้วย “ไอ้อ้วน” หรือ “แฟตแมน” ลูกที่สองใส่เมืองนางาซากิ ทำให้มีผู้เสียชีวิตที่ฮิโรชิมา 140,000 คน และที่นางาซากิ 80,000 คน นอกจากนี้ ยังมีผู้เสียชีวิตเพราะบาดเจ็บหรือจากการรับกัมมันตรังสีที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากการระเบิดอีกนับหมื่นคน ที่น่าเศร้าที่สุดคือผู้เสียชีวิตเกือบทั้งหมดเป็นพลเรือน หลังการทิ้งระเบิดลูกที่สองญี่ปุ่นประกาศตกลงยอมแพ้สงคราม ลงนามในตราสารประกาศยอมแพ้สงครามอย่างเป็นทางการในวันที่ 2 กันยายนปีนั้น
แม้เหตุการณ์ผ่านมาหลายสิบปีแล้วก็ตาม ยังไม่มีคำว่า “ขอโทษ” จากฝ่ายลุงแซมแม้แต่ครั้งเดียว แม้กระทั่งหนนี้ เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ว่าจำเป็นหรือไม่ ที่จะต้องใช้ระเบิดปรมาณูกับญี่ปุ่น แม้ว่าพี่ยุ่นซ่าสุดฤทธิ์ แต่ตอนนั้นญี่ปุ่นบอบช้ำมาก จนกำลังจะยอมแพ้สงครามอยู่แล้ว ต่อให้ไม่มีระเบิดปรมาณูมาประเคนให้ถึงบ้านก็ตามที
ผู้ที่ออกคำสั่งทิ้งระเบิดปรมาณูถล่มญี่ปุ่นคือประธานาธิบดีทรูแมน มิหนำซ้ำยังยืดอกรับเครดิตในครั้งนั้นว่า ระเบิดสองลูกนั้นช่วยปกป้องพลเมืองโลกได้อีกมากมายเพราะญี่ปุ่นยอมแพ้ แต่ไม่ยักออกมาบอกว่าตัวเองเข่นฆ่าพลเรือนญี่ปุ่นที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ไปเท่าไหร่ หากสืบสาวประวัติศาสตร์กันจริงๆ ลุงแซมโกหกคำโตไว้มากมายในกรณีนี้ เช่น ทรูแมนออกประกาศว่าจะทิ้งระเบิดในเขตทหารเท่านั้นแต่เกิดพลิกผันอย่างไรไม่รู้ ทำให้ระเบิดหล่นตูมโซนบ้านเรือนประชาชนทั่วไป
ลึกๆ แล้วลุงแซมไม่สนใจหรอกว่าจะทิ้งระเบิดโดนหัวใครบ้าง เพราะแค้นฝังหุ่นที่พี่ยุ่นบังอาจกระโดดถีบหน้าคราวเพิร์ลฮาเบอร์ หากค้นเอกสารเก่าๆ จะเห็นว่าประธานาธิบดีทรูแมนตอแหลได้ใจมาก ปากพูดออกอากาศให้คนอเมริกันฟังอย่างเคลิบเคลิ้มว่า การทิ้งระเบิดนั้นเป็นเรื่องจำเป็นต้องทำจริงๆ และอาจจะมีผู้เสียชีวิตบ้างโดยเน้นว่าทำลงไปเพื่อรักษาชีวิตทหารอเมริกัน ฟังแล้วหวานได้ใจอเมริกันทั้งประเทศ เพราะใครๆ ก็อยากให้ทหารอเมริกัน ซึ่งเป็นพ่อ ลูกชาย หรือพี่น้องตนเองกลับบ้านด้วยกันทั้งนั้น
แต่หลักฐานอีกชิ้นที่บ่งบอกความตอแหลของผู้นำอเมริกาคือ โทรเลขที่ส่งถึงสมาชิกวุฒิสภาริชชาร์ด รัสเซล ของจอร์เจีย สั้นๆ ว่า
“คงจะทำตามที่คุณบอกมาไม่ได้ เพราะญี่ปุ่นนั้นคือสัตว์ร้ายและไม่มีกฎกติกามารยาททางการรบ จึงต้องจัดการให้สาสมในแบบเดียวกัน ทั้งๆ ที่ผมเองก็เสียใจที่ต้องกำจัดพวกชาวเมืองเหล่านั้น แต่ช่วยไม่ได้เพราะพวกเขามีผู้นำที่โง่เง่า แม้ว่าจะเห็นใจเด็กและสตรีอยู่บ้าง”
เอกสารเหล่านี้มีปรากฏชัดเจนในประวัติศาสตร์ สามารถสืบค้นและหาอ่านได้ไม่ยาก ความสะเทือนใจที่สุดในเหตุการณ์โลกครั้งนี้คือ ชาวญี่ปุ่นเสียชีวิตจากระเบิดทั้งสองลูกนับแสนคน รวมทั้งที่ทยอยเสียชีวิตหลังจากถูกกัมมันตรังสีอีกหลายสิบปี ถือเป็นโศกนาฏกรรมครั้งสำคัญไม่ต่างไปจากการที่ชาวยิวถูกสังหารหมู่ในค่ายกักกันนาซี สงครามนั้นเต็มไปด้วยความโหดร้ายและแทบไม่น่าเชื่อว่าเราจะทำลายกันและกันอย่างผิดมนุษย์เช่นนี้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี