“ตอนนี้เรากำลังอยู่ในหนึ่งในช่วงเวลา ที่อันตรายที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ” เป็นคำกล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วของ แดน สมิธ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยสันติภาพระหว่างประเทศแห่งสตอกโฮล์ม (SIPRI)
สถาบันนี้คอยเก็บข้อมูล ติดตามด้านความมั่นคงและการควบคุมอาวุธของโลกมีรายงานประจำปีออกมา พอจะสรุปด้วยภาษาบ้านๆ ได้ว่า มีการขยายตัวของอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งส่งผลกระทบเด่นชัดในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และความพยายามทางการทูตที่จะควบคุมการติดอาวุธนิวเคลียร์ก็ล้มเหลว เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมหาอำนาจที่เสื่อมทรามลงทุกที อันเนื่องมาจากความขัดแย้งในยูเครนและกาซา
ประเทศหรือรัฐที่มีหัวรบนิวเคลียร์ในโลก 9 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา, รัสเซีย, อังกฤษ, ฝรั่งเศส, จีน, อินเดีย, ปากีสถาน, เกาหลีเหนือ และอิสราเอล ยังพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อทำให้อาวุธของพวกเขาทันสมัย และเพิ่มการติดตั้งระบบอาวุธนิวเคลียร์ที่สามารถใช้การได้ในระดับสูงตลอดปี 2023 ที่ผ่านมา (น่าสงสัยว่าทำไมไม่มีชื่ออิหร่านด้วย)
พูดง่ายๆ ว่า แม้จะมีนโยบายร่วมระหว่างชาติในการควบคุมนิวเคลียร์ แต่นาทีนี้คงไม่มีใครทำตาม และไม่มีใครยอมใครถ้าสันติภาพเป็นคนก็คงเป็นโรคซึมเศร้าอย่างหนัก
ผู้บริหารคนหนึ่งของ SIPRI บอกว่า“เราไม่ได้เห็นอาวุธนิวเคลียร์สำแดงบทบาทเด่นเช่นนี้ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมาตั้งแต่สงครามเย็น”
ตอนนี้มีการประเมินว่า ตัวเลขของหัวรบนิวเคลียร์ติดตั้งกับขีปนาวุธและอากาศยานในโลกมีมากถึง 12,121 หัวรบ เดือนมกราคมที่ผ่านมา มีหัวรบนิวเคลียร์ราวๆ 9,585 อยู่ในคลังอาวุธที่สามารถจะใช้ได้ และราวๆ 2,100 เก็บอยู่ในสภาวะพร้อมสำหรับปฏิบัติการขั้นสูงกับขีปนาวุธ
ยิ่งกว่านั้นคือ ตัวเลขนี้จะขยายเพิ่มมากขึ้นอีกในแต่ละปีที่จะตามมา
รัสเซียและอเมริกา สองประเทศรวมกัน มีอาวุธนิวเคลียร์เกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ ที่มีอยู่ในโลก ขนาดของคลังอาวุธทางทหารยังคงที่ในปี 2023 แม้รัสเซียถูกประเมินว่ามีมากกว่า 36 หัวรบที่เตรียมพร้อมจะใช้กับกองกำลังปฏิบัติการกว่าเดือนมกราคม 2023
ส่วนพญามังกรจีนที่ดูเงียบๆ เรียบนิ่งก็เป็นที่เชื่อว่า มีการสร้างหัวรบนิวเคลียร์เพิ่มอย่างรวดเร็ว เพราะพบว่า จีนเพิ่มอาวุธนิวเคลียร์ขึ้นไปถึง 500 หัวรบในเดือนมกราคมปีนี้ เพิ่มขึ้นจาก 410 ในเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว และพอเป็นจีนก็มั่นใจได้ว่า กำลังในการขยายการผลิตย่อมเร็วกว่าใครในโลก กว่าจะถึงสิ้นปีนี้จะมีเพิ่มไปอีกกี่หัวแล้วก็ไม่รู้
กระทั่งประเทศในเอเชียที่ยังมีคนยากคนจนอยู่มาก อย่าง อินเดีย, ปากีสถาน และเกาหลีเหนือ ทั้งหมดก็กำลังเร่งความสามารถในการติดหลายหัวรบบนขีปนาวุธ เอาเข้าไป
ความตึงเครียดในสงครามที่ยูเครนและกาซา ทำให้การทูตการเจรจาด้านลดทอนอาวุธนิวเคลียร์ของโลกอ่อนแอลงไป ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีอีกหลายพื้นที่ที่เหมือนฝีกำลังอักเสบ ไม่รู้จะแตกปะทุออกมาเมื่อไหร่
ดูเหมือนว่า ความกังวลถึงขีดสุดของ SIPRI ซึ่งเรียกร้องให้มหาอำนาจถอยหลังคนละก้าว และตรึกตรองหาทางออกร่วมกัน คงไม่ทำให้อะไรเปลี่ยนแปลง
แน่นอนว่า การใช้หัวรบนิวเคลียร์ไม่ใช่จะเกิดขึ้นง่ายๆ อย่างน้อยก่อนจะใช้ทุกฝ่ายก็ต้องคิดหนัก และประเมินฝั่งตรงข้ามอย่างละเอียด แต่เมื่อความขัดแย้งในแนวรบต่างๆ ทวีอุณหภูมิสูงขึ้น ก็รับประกันไม่ได้ว่า มือใครจะลั่นขึ้นมาก่อน และจะกดปุ่มวันไหน
รายงานของ SIPRI อีกด้านหนึ่งก็เหมือนการเตือนรัฐบาลของทุกประเทศทั่วโลกให้เตรียมพร้อมที่อาจจะเจอปัญหาจากสงครามครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นคู่ขัดแย้ง เป็นพันธมิตรฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือกระทั่งเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด เพราะหากเกิดสงครามใหญ่ขึ้นมาจริงๆ อาจจะนำมาซึ่งความพินาศของทุกระบบของมนุษยชาติ
ส่วนประเทศไทย คงไม่มีใครกังวลอะไร เพราะเห็นยังมั่วอยู่กับเรื่องแจกเงินดิจิทัลและตำรวจสองคนทะเลาะกัน
ทิวา สาระจูฑะ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี