การคำนวณ 1 หน่วยแอลกอฮอล์ของสหราชอาณาจักร (United Kingdom ที่ประกอบด้วย England (อังกฤษ), Wales, Scotland and Northern Ireland คือ
จำนวนซีซีของแอลกอฮอล์ที่ดื่ม x Alcohol by Volume (ABV) 1,000
เช่น ดื่มเบียร์ 500 ซีซี ที่ 5% (alcohol ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นขวด กระป๋อง จะมี % alcohol อยู่ข้างๆ ขวด กระป๋อง) จะเป็น 2,500/1000 = 2.5 หน่วยของ UK แต่ที่ต้องจำ คือ 1 หน่วย alcohol ของประเทศอังกฤษ มี 8 กรัมแอลกอฮอล์ ฉะนั้น 2.5 หน่วยจะมี 2.5 x 8 = 20 กรัมแอลกอฮอล์ แต่ที่อเมริกา 1 หน่วยแอลกอฮอล์ คือ 14 กรัมแอลกอฮอล์, ที่ญี่ปุ่น 1 หน่วยมี 19.75 กรัมแอลกอฮอล์, 1 หน่วยของยุโรป อยู่ระหว่าง 8-12 กรัมแอลกอฮอล์ ฉะนั้น 2.5 หน่วยแอลกอฮอล์ของอังกฤษ หรือ 20 กรัมแอลกอฮอล์ จะเทียบเท่า 1 หน่วยแอลกอฮอล์ของญี่ปุ่น (20 หารด้วย 19.75) เนื่องจากเบียร์มี ABV 3-6%, ไวน์ประมาณ 11-14%, วิสกี้ 40% 1 หน่วยแอลกอฮอล์ของ UK คือ ประมาณ 25 ซีซี ของวิสกี้ หรือ 80 ซีซีของไวน์ หรือ 200 ซีซีของเบียร์ ผมอยากเห็น WHO หรือ UN ทำให้ทุกประเทศมีหนึ่งหน่วยแอลกอฮอล์ที่เท่ากัน เช่น หนึ่งหน่วยมี 8 หรือ 10 กรัมแอลกอฮอล์
ทางด้านการแพทย์ไม่ว่าจะดื่มน้อยแค่ไหน จะทำให้สมรรถภาพของการขับรถเสียไป จึงไม่แนะนำให้ดื่มแอลกอฮอล์เลย ถ้าจะขับรถ ไม่ใช่ว่าเมาจึงไม่ขับรถ เพราะใครๆ ก็ไม่รับหรือไม่ทราบว่าตนเองเมา
เรื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้วขับรถ ผมต้องยอมรับว่าเดี๋ยวนี้หลายๆ คน โดยเฉพาะพวกหมอต่างๆ ก็ไม่ดื่มแอลกอฮอล์แล้ว ถ้าจะขับรถ
และยิ่งถ้าดื่มเวลาท้องว่าง หรือกินยาที่ทำให้ง่วงด้วย หรือเวลาอดนอน หรือเหนื่อยๆ เช่น หลังตีกอล์ฟกลางแดด 5 ชั่วโมง แล้วดื่มเบียร์ก่อนกลับบ้าน อันตรายมากครับ ถ้าง่วง ไม่ว่าจะดื่มแอลกอฮอล์หรือไม่ ควรจอดรถ นั่งหรือนอนพักสักระยะหนึ่ง
ในระดับโลก กลุ่มที่มีความเสี่ยงในการใช้ถนนมี 3 กลุ่ม คือ คนเดินถนน คนถีบจักรยาน คนใช้รถเครื่อง 2-3 ล้อ ในระดับโลก 3 กลุ่มนี้เป็น 54% (คนเดิน จักรยาน 26% รถมอเตอร์ไซค์หรือ 3 ล้อเครื่อง 28%) ของการเสียชีวิตทั้งหมด แต่ในประเทศไทย 74% มาจากผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ 8% จากคนเดิน 3% จากผู้ใช้จักรยาน
90% ของการเสียชีวิตบนท้องถนนในโลกอยู่ที่ประเทศที่มีรายได้ต่ำ-ปานกลาง ทั้งๆ ที่มีรถเพียง 54% ของรถทั้งหมดในโลก และการเสียชีวิตส่วนใหญ่ อยู่ใน 10% ของถนนเท่านั้น จึงสมควรเน้นการปรับปรุงถนน 10% นี้ให้มีความเสี่ยงน้อยลงหรือไม่มีเลย
1) ในแง่ของการบริหารจัดการเรื่อง Road Safety
ควรมีหน่วยงานของรัฐเป็นต้นเรื่อง ที่ได้รับการสนับสนุนเต็มที่จากรัฐบาล รวมทั้งงบประมาณ แต่ควรประกอบไปด้วยหน่วยงานของรัฐในส่วนต่างๆ เช่น กระทรวงสาธารณสุข มหาดไทย คมนาคม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และภาคเอกชน และจากพลเมืองทั่วๆ ไป รวมทั้งองค์กรส่วนท้องถิ่น ฯลฯ และองค์กรการกุศลต่างๆ
ควรมีการดูแลกฎหมายให้เหมาะสม ทันสมัยตลอดเวลา เช่น ความเร็วของรถ WHO แนะว่าในเมืองควรมีความเร็วอย่างมาก 50 กม./ชม. หรือน้อยกว่า หรือ 30 กม./ชม. ในที่ที่มีเด็ก คนเดินมากและให้อำนาจแก่องค์การส่วนท้องถิ่นในการดูแลความเร็วของการขับรถในช่วงต่างๆ ตามความจำเป็นและเหมาะสม
2) ถนนที่ปลอดภัย
ควรมีการวางแผน ออกแบบ สร้าง ติดตามดูแลถนนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อทำให้มีความปลอดภัยสูงสุด เช่นมีทางเดิน ทางจักรยาน ทางรถมอเตอร์ไซค์ รวมทั้งมีทางข้ามถนนอย่างเหมาะสมเพียงพอ หรือจะเป็นสะพานข้ามถนน ถนนต้องมีป้ายที่ชัดเจน มีไฟเขียวไฟแดงที่มีประสิทธิภาพ เหมาะสมกับช่วงเวลารถติด/ไม่ติด มีเกาะกั้นกลางถนน เพราะถ้าเป็นถนนที่รถวิ่งสวนกันได้โดยไม่มีเกาะตรงกลาง จะมีโอกาสที่จะมี head on collision ต้องมีที่ U turn อย่างเหมาะสมและปลอดภัย มีป้ายต่างๆ อย่างชัดเจน รวมทั้งมีการให้คะแนนถนนต่างๆ ตั้งแต่ 1 ถึง 5 และ 5 คือถนนที่ดีที่สุด
3) รถที่ปลอดภัย
การผลิตรถต้องเป็นไปตามมาตรฐานสากล คือ มีการป้องกันการชนตรงๆ และด้านข้าง รถมี electronic stability control (ESC) ข้างหน้ารถควรมีกันชนที่นุ่มเพื่อความปลอดภัยของผู้เดินถนนในการชน รถจักรยานยนต์ ควรมี Anti – Lock Braking System (ABS) รถทุกคันควรมีเข็มขัดนิรภัยที่ได้มาตรฐานทุกที่นั่ง ควรมีการให้ rating แก่รถด้วย
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี