วันอังคาร ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2568
ท่านเจ้าของสุนัขหลายท่านคงเคยประสบปัญหา “สุนัขตัวร้อน มีไข้” บางท่านไม่รู้จะทำอย่างไรก็เอายาคนให้กิน คนที่เอาใจใส่หน่อยก็พาไปพบคุณหมอตั้งแต่เนิ่นๆเรื่องภาวะการเป็นไข้นี้ สามารถเจอได้ทุกบ้าน ดังนั้นวันนี้ผมมีคำแนะนำดีๆ มาฝาก เรื่อง “ภาวะไข้และคำแนะนำเบื้องต้นเพื่อช่วยลดไข้สำหรับสุนัข” จาก ผศ.ร.ท.หญิง สพ.ญ.ดร.เนาวรัตน์ สุธัมนาถพงษ์ ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
อุณหภูมิร่างกายที่ปกติของสุนัขอยู่ที่เท่าไหร่?
อุณหภูมิร่างกายปกติของสุนัขอยู่ที่ 37.5-39.2 องศาเซลเซียส (99.5-102.5 องศาฟาเรนไฮด์) ซึ่งจัดว่าสูงกว่าของคน (ในคน 36.4-37.5 องศาเซลเซียส
หรือ 97.6-99.6 องศาฟาเรนไฮด์)
อาการของสุนัขที่มีไข้เป็นอย่างไร?
สุนัขที่มีภาวะไข้มักแสดงอาการดังต่อไปนี้
• ตัวสั่น
• ตาแดง
• นอนซม
• อาเจียน
• เบื่ออาหาร ไม่กินอาหาร
• ไม่มีเรี่ยวแรง ไม่ลุกขึ้นมาวิ่งเล่น
• เมื่อเราใช้ปลายนิ้วสัมผัสที่จมูกสุนัขแล้ว รู้สึกว่าจมูกอุ่นและแห้ง แสดงว่าอาจจะมีไข้ นอกจากนี้หากจับบริเวณใบหู แล้วรู้สึกอุ่น ก็ถือว่ามีภาวะไข้เกิดขึ้น
อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดไข้ในสุนัข?
โดยทั่วไป ภาวะไข้มักเกิดจากการที่ร่างกายของสุนัข พยายามต่อสู้กับเชื้อโรคที่บุกรุกเข้ามาในร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุของการติดเชื้อหรือการอักเสบ ตัวอย่างเช่น
• ไข้จากการติดเชื้อ หรือมีฝีที่ฟัน
• ไข้จากการติดเชื้อที่หู ภาวะหูอักเสบ
• ไข้จากการติดเชื้อแบคทีเรีย หรือไวรัส
• ไข้จากการติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะ
• ไข้จากการติดเชื้อของอวัยวะภายใน เช่น ไต ปอด
• ไข้จากการติดเชื้อจากแผลที่ถูกกัด หรือแผลจากรอยขีดข่วน
• ไข้จากการได้รับสารพิษ ซึ่งมีหลายชนิด เช่น พืชที่เป็นพิษ ยาหรืออาหารของคนที่เป็นพิษต่อสุนัข เช่น น้ำตาลเทียมหรือไซลิทอล (xylitol)
สำหรับสุนัขที่มีไข้ ในเบื้องต้นควรดูแลอย่างไร?
สำหรับสุนัขที่มีไข้ ในเบื้องต้น เราสามารถช่วยลดอุณหภูมิร่างกายลงได้ โดยการใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำเย็นเช็ดตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริเวณใบหูและเท้าขณะเช็ดตัว การใช้พัดลมเป่าที่ตัวบนขนที่เปียกหมาดๆ อยู่ ช่วยลดอุณหภูมิลงได้เร็วขึ้น
เพื่อให้แน่ใจว่าไข้ลดหรือไม่ ควรตรวจสอบอุณหภูมิร่างกาย โดยใช้ปรอทวัดไข้วัดอุณหภูมิทางทวารหนักของสุนัข หากอุณหภูมิร่างกายลดลงถึง 39.5 องศาเซลเซียส (ประมาณ 103 องศาฟาเรนไฮด์) ให้หยุดการช่วยระบายความร้อนได้(ไม่ควรลดอุณหภูมิลงเร็วเกินไป)
นอกจากนี้ สำหรับสุนัขที่มีไข้ ควรพยายามให้ดื่มน้ำปริมาณเล็กน้อยบ่อยๆ เพื่อให้มีความชุ่มชื้น ร่างกายจะได้ไม่ขาดน้ำ
สำหรับการให้ยาลดไข้แก่สัตว์ป่วยนั้น จำเป็นต้องให้สัตวแพทย์เป็นผู้กำหนดชนิดและขนาดยาที่เหมาะสมสำหรับสัตว์แต่ละราย
ไม่ควรให้สุนัขกินยาลดไข้หรือยาแก้ปวดของคน ไม่ว่าจะเป็นยาชนิดใดก็ตาม เช่น พาราเซทามอล (paracetamol) หรือที่เรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า อะเซตามิโนเฟน (acetaminophen) แอสไพริน (aspirin) รวมทั้งไอบูโพรเฟน (ibuprofen) เนื่องจากยาเหล่านี้มีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความเป็นพิษต่อสุนัข และในกรณีที่ได้รับยาเกินขนาดสามารถทำให้สุนัขถึงแก่ความตายได้
เมื่อไหร่จึงควรพาสุนัขไปพบสัตวแพทย์?
ควรพาสุนัขไปพบสัตวแพทย์ หากอุณหภูมิร่างกายของสุนัขสูงถึง 39.5 องศาเซลเซียส (ประมาณ 103 องศาฟาเรนไฮด์) หรือสูงกว่า
อุณหภูมิร่างกายที่ 41 องศาเซลเซียส (ประมาณ 106 องศาฟาเรนไฮด์)หรือสูงกว่า จัดเป็นภาวะฉุกเฉิน (emergency) เนื่องจากสามารถสร้างความเสียหายต่ออวัยวะภายใน และอาจจะทำให้เกิดอันตรายที่ร้ายแรงได้ จึงไม่ควรรอจนถึงจุดนั้นควรรีบพาสุนัขไปที่คลินิกรักษาสัตว์หรือโรงพยาบาลสัตว์ เพื่อให้สัตวแพทย์ ทำการตรวจร่างกาย และวินิจฉัยหาสาเหตุของภาวะไข้ หากสุนัขได้เคยไปรับการตรวจสุขภาพเป็นประจำจะเป็นประโยชน์อย่างมาก เนื่องจากสัตวแพทย์จะมีบันทึกประวัติสุขภาพของสุนัขเพื่อประกอบการวินิจฉัยในเบื้องต้น เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับการทำวัคซีนประจำปี ประวัติการผ่าตัด การถ่ายพยาธิ โรคภูมิแพ้ ยาที่เคยได้รับหรือกำลังได้รับเป็นประจำ และประวัติของความเจ็บป่วยในอดีต
ข้อมูลที่เราต้องเตรียมไว้ให้คุณหมอ เพื่อใช้ประกอบการวินิจฉัย มีอะไรบ้าง?
เพื่อความรวดเร็วและเป็นประโยชน์ในการตรวจวินิจฉัยโรค เจ้าของสัตว์ป่วยที่ไปพบสัตวแพทย์ควรเป็นผู้ที่ทราบข้อมูลเกี่ยวกับการป่วยของสุนัข หรือเตรียมข้อมูลจากคนในบ้านที่ทราบข้อมูลไปด้วย เนื่องจากสัตวแพทย์อาจจำเป็นต้องซักถามเจ้าของสุนัขเพิ่มเติม เพื่อให้ทราบถึงข้อมูลของสุขภาพหรือการเจ็บป่วยในที่เป็นปัจจุบัน เช่น
• สังเกตเห็นว่าสุนัขมีไข้ครั้งแรกเมื่อไหร่
• อาการป่วยอื่นๆ เช่น มีท้องเสีย ไอ อาเจียน มีบ้างหรือไม่
• ความเป็นไปได้ที่สุนัขอาจกินพืชหรือสารพิษอื่นๆเข้าไป มีหรือไม่
• ความเป็นไปได้ที่สุนัขอาจถูกกัดโดยแมลงและสัตว์ที่มีพิษอื่นๆ มีหรือไม่
• สุนัขกินน้ำหรืออาหารได้บ้างหรือไม่ กินครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
นอกจากนี้ ยังหลังจากที่ตรวจร่างกายเบื้องต้นแล้ว สัตวแพทย์อาจจำเป็นต้องเก็บตัวอย่างจากสุนัข เช่น ปัสสาวะ เลือด เพื่อส่งไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ
เพื่อให้ทราบข้อมูลที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับความผิดปกติของร่างกาย หรือเพื่อให้ทราบว่ามีการติดเชื้อหรือไม่ หรือควรใช้ยาชนิดใดเพื่อกำจัดเชื้อดังกล่าว
หากสงสัยว่ามีการติดเชื้อ ในเบื้องต้น สัตวแพทย์อาจจะสั่งจ่ายยาต้านการติดเชื้อเพื่อช่วยกำจัดเชื้อจากร่างกาย นอกจากนี้ ในบางกรณี อาจจำเป็นต้องมีส่งตัวอย่างไปตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติมอีกในภายหลัง เพื่อการทดสอบที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น บางครั้งอาจเป็นไปได้ที่จะยังไม่สามารถระบุสาเหตุของภาวะไข้ได้ แม้จะตรวจร่างกายอย่างละเอียดแล้ว โดยทั่วไปจัดเป็น Fever of Unknown Origin หรือ FUO (ภาวะไข้ที่ไม่ทราบสาเหตุ)
ดังนั้นหากสุนัขมี “ไข้” และเราได้ให้การพยาบาลเบื้องต้นตามที่แนะนำไปแล้ว แต่ยังไม่ดีขึ้น ก็ควรพาสุนัขไปพบสัตวแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง อย่าปล่อยไว้จนสายเกินแก้นะครับ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.ทิลดิสร์ รุ่งเรืองกิจไกร
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

'พาณิชย์'เผยสู้รบไทย-กัมพูชา กระทบการค้าชายแดนระยะสั้น เชื่อผ่านวิกฤตไปได้
'หมอสุภัทร'ลาออก จ่อสมัคร สส.สงขลา พรรคประชาชน
ครม.เคาะงบกห. 2.4 พันล้าน สู้ศึกชายแดน
ด่วน!ยกเลิกเคอร์ฟิว จ.ตราด ชี้คุมสถานการณ์ได้แล้ว-ปชช.ใช้ชีวิตตามปกติ
‘รมว.ยุติธรรม’หารือ‘หลิว จงอี้’เทพมือปราบจีน เสนอไทย 3 ข้อแนวทางปราบสแกมเมอร์

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี