เมื่อธันวาคม ค.ศ.2018 ได้มี “Global Status Report on Road Safety 2018” ขององค์การอนามัยโลกออกมาในนั้นท่านเลขาธิการองค์การอนามัยโลกกล่าวว่า อัตราการเสียชีวิตบนท้องถนนของชาวโลกยังสูงขึ้นเรื่อยๆ จากข้อมูลในปี ค.ศ.2016มีชาวโลกตายจากอุบัติเหตุบนท้องถนนถึงปีละ 1.35 ล้านคน หรือวันละ 3,700 คน หรือเท่ากับเครื่องบินลำใหญ่ๆ ตก 10 ลำและผู้โดยสารเสียชีวิตหมดทุกคน และเป็นอย่างนี้ทุกวันทุกเดือน ทุกปี สาเหตุมาจากประชากรเพิ่มขึ้นในเมืองอย่างรวดเร็ว มีระบบการดูแลความปลอดภัยที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่มีการบังคับใช้กฎหมายเท่าที่ควร ผู้ขับขี่ยานพาหนะเหนื่อยหรือมีอะไรมาเบี่ยงเบนความสนใจ เช่น การใช้โทรศัพท์ไม่ว่าจะไร้สายหรือไม่ หรือกินยา หรือดื่มแอลกอฮอล์ การขับรถเร็ว ไม่รัดเข็มขัดนิรภัย ไม่สวมหมวกกันน็อก ฯลฯ การเสียชีวิตบนท้องถนน เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของชาวโลกในช่วงอายุ 5-29 ปี จากการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goal, SDGs) เป้าหมายที่ 3.6 ประเทศต่างๆ ในโลกตกลงร่วมกันว่าเราจะลดอัตราการเสียชีวิตลงครึ่งหนึ่งภายในปี 2020 ซึ่งขณะนี้การที่จะถึงเป้าหมายนี้เป็นไปได้ยาก
พอดีที่ประเทศไทยมีรายงานสถานการณ์ความปลอดภัยบนท้องถนนของประเทศไทย ปี 2561 โดย สสส. สอจร. SF ผมจึงขอเอาข้อมูลที่สำคัญมาเรียนให้พวกเราได้รับทราบ
สำหรับผม สาเหตุการตายบนท้องถนนมาจากคนทั้งนั้นไม่ว่าจะกรณีใด คือ คนไม่มีวินัย ไม่เคารพกฎหมายบ้านเมืองเช่น ขับรถเร็ว ดื่มแอลกอฮอล์แล้วขับรถ ไม่ต้องถึง “เมาไม่ขับ” ไม่สวมหมวกกันน็อก ไม่รัดเข็มขัดนิรภัย ขับรถเร็วกว่ากฎหมายกำหนด หรือแม้แต่ในบางช่วงของถนนที่กฎหมายให้ขับในความเร็วต่างๆแต่ถ้าจำเป็น ควรขับรถช้ากว่าที่กฎหมายกำหนด เช่น เขตชุมชน โรงเรียน ช่วงที่มีคนเดินข้ามถนนมาก มีสัตว์ต่างๆ อยู่ข้างถนน ฯลฯผู้ขับขี่ยานพาหนะควรขับช้าลงเพื่อเตรียมป้องกันภัยต่างๆการมีเด็กเล็กนั่งโดยไม่มีรัดเข็มขัดสำหรับเด็กเล็กโดยเฉพาะ (child restraint) ซึ่งที่ต่างประเทศมีกฎหมายบังคับ แต่ประเทศไทยยังไม่มี ซึ่งควรจะมีได้แล้ว
ส่วนสาเหตุของการเสียชีวิตบนท้องถนนอื่นๆ ผมก็ยังว่ามาจากคนอยู่ดี เช่น มาตรฐานรถ ถนน ทางข้ามม้าลาย ฯลฯ ไม่ดี ก็เพราะคนทั้งนั้น ที่ไม่มีการวางแผน มีนโยบายระดับประเทศ ไม่ได้คิดถึงคนเดินถนน ทางข้ามม้าลาย หรือสะพานลอยข้ามถนน อย่างดีพอสมควร รถยนต์ รถต่างๆ ควรมีมาตรฐานความปลอดภัยแบบเดียวกันทั่วโลก ถนนต้องได้มาตรฐาน การออกกฎเกี่ยวกับความเร็วในชุมชนควรให้ขึ้นกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้พิจารณาตามความเหมาะสม ฯลฯ
จากข้อมูลของไทยคราวนี้ มีการประเมินว่า ช่วงปี พ.ศ.2554-2556ความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนของไทยทั้งในแง่ของชีวิตและทรัพย์สิน คิดเป็นมูลค่าของอุบัติเหตุเฉลี่ยต่อปีเท่ากับ 545,435 ล้านบาท คิดเป็น 6% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) โดยมีคนไทยเสียชีวิตบนท้องถนนวันละ 56 ราย (ผมว่ามากกว่านี้) หรือทุกๆ 27 นาที จะมีคนตายจากอุบัติเหตุทางถนนอย่างน้อย 1 ราย
จากการรวบรวมข้อมูลอุบัติเหตุจราจรหลายฐานข้อมูล (POLIS, E-claim และมรณบัตร) โดยคณะอนุกรรมการด้านบริหารจัดการข้อมูลและการติดตามประเมินผล ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนหรือข้อมูลผู้เสียชีวิต 3 ฐานในปี พ.ศ.2561พบว่าประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนทั้งสิ้น 19,585 ราย(ผมคิดว่ายังอาจต่ำไปด้วยซ้ำ แต่ขอใช้ตัวเลขนี้ก่อน) คิดเป็นอัตราการเสียชีวิต 29.95 รายต่อแสนประชากร ถ้าเทียบกับปี 2559 พบว่ามีอัตราการเสียชีวิตลดลง 4.5 รายต่อแสนประชากร (ปี พ.ศ.2559 มีอัตราการเสียชีวิตต่อแสนประชากร คือ 34.4 ราย)
ข้อมูลของประเทศไทยพบว่า กลุ่มอายุที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุดได้แก่ 20-24 ปี (14%) และถ้ารวมกลุ่มอายุ 15-19 ปี (10%) และกลุ่มอายุ 25-29 ปี (9%) เข้าไปได้ กลุ่มอายุ 15-29 ปี จะเป็นกลุ่มที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุดโดยมีสัดส่วนสูงถึง 33% จึงเห็นได้ว่าอุบัติเหตุทางถนนเป็นหนึ่งในสาเหตุการเสียชีวิตที่คร่าชีวิตคนไทยกลุ่มวัยรุ่น นักเรียน นักศึกษา มากที่สุด ต่างจากการเจ็บป่วยอื่น ที่กลุ่มเสี่ยงส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุ
เมื่อแยกผู้เสียชีวิตตามประเภทการเดินทางพบว่ากลุ่มที่เกิดการเสียชีวิตสูงสุดได้แก่ ผู้ใช้รถจักรยานยนต์ โดยมีสัดส่วนสูงถึง 70.2% ตามด้วยรถยนต์นั่งส่วนบุคคล (13.9%) และคนเดินเท้า (10.3%) รถกระบะ รถตู้ (2.3%) จักรยาน (1.4%) รถบรรทุกหนัก (1%) รถสามล้อ (0.4%) รถบัส (0.5%) ตามลำดับ สถิติขององค์การอนามัยโลกพบว่ากลุ่มผู้ใช้จักรยานยนต์ รถจักรยาน คนเดินเท้า มีสัดส่วนที่จะเกิดอุบัติเหตุเฉลี่ย 54% ในขณะที่ประเทศไทยมีสัดส่วนสูงถึง 81% (ที่มา : รายงานสถานการณ์ความปลอดภัยทางถนนของประเทศไทย ปี 2561, แผนงานสนับสนุนการป้องกันอุบัติเหตุจราจรในระดับจังหวัด)
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี