ปัญหาเรื่องกลิ่นเหม็นจากช่องปากของสุนัข เป็นเรื่องที่เจ้าของสุนัขหลายคนประสบ อาจเนื่องจากในปัจจุบันความใกล้ชิดระหว่างเจ้าของกับสุนัขนั้น แนบแน่น (จนบางบ้านถึงกับนอนร่วมหมอนกันเลยทีเดียว) เมื่อสุนัขมีกลิ่นปากเจ้าของก็จะรู้สึกและสังเกตได้อย่างง่ายดาย
@ กลิ่นเหม็นที่เกิดจากช่องปากสุนัขมีสาเหตุมาจากอะไรได้บ้าง
ปัญหาเรื่องช่องปากของสุนัขนั้น มีหลายสาเหตุด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นหินปูน โรคเหงือกอักเสบ ฟันผุ ซึ่งสามารถเกิดได้เหมือนในคนเราเลยครับ แต่ในสุนัขนั้น เมื่อตรวจเจอก็มักจะพบว่าเป็นระยะที่รุนแรงกว่าในคนมากๆ เพราะในสัตว์เลี้ยงนั้น เราไม่ค่อยได้พาไปตรวจสุขภาพช่องปากเป็นประจำเหมือนในคน ดังนั้น “การดูแลช่องปากของสุนัข” จึงมีความสำคัญครับ
ในปัจจุบันนี้ เราจะเห็นว่าการเลี้ยงสัตว์นั้น สุนัขจะได้รับการเอาใจใส่ดูแล ดีขึ้นกว่าในสมัยก่อนมาก สุนัขจะมีอายุขัยที่ยาวขึ้น และอยู่กับเราได้นานกว่าสมัยก่อนเนื่องจากได้รับการทำวัคซีนครบถ้วน และพบสัตวแพทย์เพื่อดูแลป้องกันโรคต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ รวมถึงในปัจจุบันมียาและเครื่องมือที่ใช้ในการรักษายามที่สัตว์เลี้ยงป่วยที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้นเมื่อสุนัขอายุยืนหรือเข้าสู่วัยชรา ก็มักพบปัญหาความเสื่อมตามวัยของร่างกาย รวมถึงโรคเกี่ยวกับช่องปากได้ง่าย เช่น โรคเหงือกอักเสบ ฟันผุ ฟันโยก โรคปริทนต์กรามหักอันเกิดจากกระดูกติดเชื้อจากโรคปริทนต์ ฝีที่รากฟัน ซึ่งปัญหาต่างๆเหล่านี้สามารถ “ป้องกันได้” หากเราให้การดูแลสุขภาพช่องปากของสุนัขเป็นประจำครับ
@ การดูแลสุขภาพช่องปากในสุนัขนั้น ทำได้อย่างไร?
หลักง่ายๆ ในการดูแลสุขภาพช่องปากของสุนัขและแมวนั้น ก็คือ
1.การพาสุนัขไปพบสัตวแพทย์เพื่อตรวจร่างกายและช่องปากอย่างสม่ำเสมอ ปีละครั้ง
2.ได้รับการขูดหินปูนตามช่วงเวลาและวิธีการที่เหมาะสม
3.มีการดูแลสุขภาพช่องปากสุนัขด้วยตนเองที่บ้านเป็นประจำเพื่อสังเกตความผิดปกติตั้งแต่เริ่มแรก
@ เมื่อไรที่เราต้องพาสุนัขไปตรวจร่างกายรวมถึงตรวจสุขภาพช่องปาก?
โปรแกรมการตรวจร่างกายของลูกสุนัขโดยคร่าวๆ แบ่งเป็นช่วงได้ดังนี้
1.การตรวจร่างกายช่วงแรก ที่อายุ “2 เดือน”
เมื่อลูกสุนัขมีอายุประมาณ 2 เดือน หรือ 8 สัปดาห์นั้น สุนัขควรมีฟันน้ำนมขึ้นครบทั้งหมดแล้ว และควรอยู่ในแนวการสบฟันที่เหมาะสม ซึ่งหากฟันน้ำนมขึ้นผิดที่ จะสามารถทำให้การสบฟันผิดปกติไป ซึ่งอาจทำให้เกิดการเจริญของขากรรไกรล่างหรือขากรรไกรบน หรือทั้งคู่ผิดปกติตามมาได้ไปทางทฤษฎี เมื่อเห็นว่ามีฟันน้ำนมขึ้นผิดปกติ สัตวแพทย์จะแนะนำให้ถอนฟันน้ำนมที่ขึ้นผิดตำแหน่งนั้นออกครับ
แต่ในการถอนฟันสุนัขและแมวนั้น จะดูยุ่งยากกว่าในคน คือต้องทำการ “วางยาสลบ” ด้วย เนื่องจากคุณหมอ (สัตวแพทย์) ไม่สามารถบอกให้คนไข้ (สุนัข) นอนอ้าปากเฉยๆ เหมือนบอกคนไข้ที่เป็นคนได้ครับ ดังนั้นจึงก่อนหน้าที่จะถอนฟัน (และวางยาสลบนั้น จึงจำเป็นต้องทำการตรวจเลือด และทำการนัดหมายล่วงหน้าก่อน เพื่อที่จะสามารถเตรียมตัวร่างกายของสุนัขและแมวให้พร้อมก่อนการวางยาสลบด้วยครับ
2.การตรวจร่างกายช่วงที่ 2 ที่อายุประมาณ “4-6 เดือน”
เมื่อลูกสุนัขมีอายุได้ 4 เดือน จะเป็นช่วงที่มีการ “ผลัดเปลี่ยนฟัน”จาก “ฟันน้ำนม” เป็น “ฟันแท้” บางตัวอาจพบว่า มีฟันแท้ขึ้นแล้วโดยที่ฟันน้ำนมที่ตำแหน่งเดียวกันยังไม่ยอมหลุด นั่นถือว่าเกิดความผิดปกติที่เรียกว่า“ฟันน้ำนมค้าง” สัตวแพทย์จะประเมินสภาพและแนะนำให้ถอนฟันน้ำนมที่ค้างเหล่านั้นออกเนื่องจากหากปล่อยไว้ ฟันน้ำนมที่ค้างอาจทำให้ฟันแท้ขึ้นผิดตำแหน่ง ก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมาได้ เช่น การสบฟันที่ผิดปกติ การเจริญอย่างไม่สัมพันธ์กันของขากรรไกรบนและล่าง หรือฟันแท้ที่ขึ้นผิดตำแหน่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายของเหงือก เพดานปาก ลิ้น หรือริมฝีปากได้ แล้วแต่ตำแหน่งของฟัน โดยตำแหน่งของฟันที่พบฟันน้ำนมค้างได้บ่อยคือ ฟันตัด(ฟันหน้า) และฟันเขี้ยว ความผิดปกตินี้พบได้บ่อยในสุนัขพันธุ์เล็ก เช่น ชิวาวาปอมเมอเรเนียน พุดเดิ้ล และเป็นความผิดปกติที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมด้วยครับ
3.การตรวจร่างกายประจำปี (ปีละครั้ง)
โดยปกติเราควรพาสุนัขไปพบสัตวแพทย์เพื่อตรวจร่างกายเป็นประจำทุก 1 ปี เพื่อรับการฉีดวัคซันประจำปี รวมถึงตรวจสุขภาพโดยรวมทั้งช่องปากและตรวจร่างกายอื่นๆ ด้วย
@ การขุดหินปูนมีความจำเป็นต้องทำในสุนัขหรือไม่?
เมื่อเราสังเกตในช่องปากของสุนัขด้วยตัวเราเองที่บ้านแล้ว พบว่ามีหินปูนเกาะตามคอฟัน เราควรพาไปพบสัตวแพทย์เพื่อให้สัตวแพทย์ช่วยประเมินว่าควรได้รับการขูดหินปูนแล้วหรือยัง
หากสุนัขมีหินปูนเกาะในปริมาณไม่มาก เราอาจใช้แค่การดูแลโดยเจ้าของเพื่อไม่ให้หินปูนก่อตัวเพิ่มขึ้น โดยยังไม่จำเป็นต้องขูดหินปูนก็ได้ เนื่องจากการขูดหินปูนในสุนัขและแมวนั้นต้องใช้การ “วางยาสลบ” (การวางยาสลบบ่อยๆ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีครับ)
แต่ถ้าหากพิจารณาแล้ว พบว่ามีหินปูนที่โคนฟันจำนวนมาก ก็ควรได้รับการวางยาสลบและทำการขูดหินปูนเสีย เนื่องจากหากปล่อยไว้นั้นจะทำให้หินปูนซึ่งจะเป็นแหล่งที่อยู่ของเชื้อโรคในช่องปาก ทำให้เกิดปัญหาเหงือกอักเสบ โรคปริทนต์ กระดูกขากรรไกรหักจากการติดเชื้อจากโรคปริทนต์ตามมาได้
ขอเรียนย้ำว่า การขูดหินปูนในสุนัขและแมวนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องวางยาสลบ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยทั้งต่อ “ตัวสุนัขเองและผู้ปฏิบัติงาน” จะพบว่าการวางแต่ “ยาซึม” แล้วทำการขูดหินปูนนั้น อาจยังทำให้สุนัขเครียด หวาดกลัว ดิ้นรน จนทำให้ได้รับบาดเจ็บได้ ซึ่งไม่เป็นผลดีอย่างแน่นอนครับ
สัปดาห์หน้า เรามารู้จักวิธีการเตรียมตัวสัตว์เลี้ยง ก่อนเข้ารับการขูดหินปูนกันครับ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.ทิลดิสร์ รุ่งเรืองกิจไกร
ฝ่ายประชาสัมพันธ์และส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กร
คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี