เชื้อไวรัสนี้มีชื่อเฉพาะว่า 2019-nCoV ในสมาชิกลำดับที่ 7ในตระกูล coronaviruses lineage B, จีนัส betacoronavirus,เชื้อมีลำดับยีนมากกว่าร้อยละ 85 ที่เหมือนกับยีโนมของเชื้อSARS-like CoV ในค้างคาว (bat-SL-CoVZC45, MG772933.1)การก่อโรคในมนุษย์จากเชื้อโรคในค้างคาวถือว่า เป็น zoonotic disease ด้วย
แหล่งแรกที่แพร่เชื้อและทำให้เกิดการระบาด
ในระยะแรก ทุกคนก็พุ่งไปที่ตลาดขายอาหารทะเลสดในเมือง Wuhan(seafood market, Wuhan) ประเทศจีนว่าเป็นแหล่งแรกที่เริ่มแพร่เชื้อแต่ในบทความรายงานผู้ป่วยในวารสาร Lancet ทำให้เกิดสมมุติฐานเพิ่มเติมอีก รวมเป็นสมมุติฐานสี่แบบที่ต้องหาหลักฐานมาพิสูจน์ ดังนี้
1.ในบทความกล่าวถึง ผู้ป่วยรายแรกในวันที่ 1 ธันวาคม แสดงว่า รายนี้เริ่มติดเชื้อในปลายเดือนพฤศจิกายนและในเวลานั้นไม่ได้มาที่เมืองอู่ฮั่น(Wuhan)(แสดงว่า การติดเชื้อมีมาแบบเงียบๆในสถานที่อื่นก่อนจะมีการระบาดครั้งนี้ แต่ไม่สามารถชันสูตรเชื้อก่อโรคได้ชัดเจน และในบทความฉบับนี้รายงานว่า มีผู้ป่วยอีก 13 รายจาก 41 ราย ที่ไม่ได้มาที่เมืองอู่ฮั่นด้วย) สรุปว่า โรคนี้น่าจะมีมาก่อนแล้วในเมืองจีน แล้วมาแพร่เชื้อและชันสูตรเชื้อได้ในผู้ป่วยที่มาซื้อสินค้าหรือเข้ามาที่ตลาดขายอาหารทะเลสดที่เมืองอู่ฮั่นและทำให้เกิดการระบาดของโรค zoonosis ทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่แสดงอาการออกมาในวันที่ 8 ธันวาคม แม้ว่า ทางการจีนยอมรับว่าเชื้ออาจจะแพร่จากผู้ป่วยไปยังคนข้างเคียงได้(คนสู่คน)แต่หลักฐานเชิงระบาดวิทยาแสดงว่า การระบาดจาก “คนสู่คน” ยังเป็นไปได้น้อยมาก ขณะนี้มีการรายงานผู้ป่วยชายชาวเวียดนามอายุ 65 ปีติดเชื้อ 2019-nCoV เมื่อไปเมืองจีน แต่ไม่ได้ไปที่ตลาดสด เมืองอู่ฮั่นแล้วกลับมาป่วยในประเทศเวียดนามในวันที่ 17 มกราคม ภรรยาที่ไปด้วยไม่ป่วยไม่ติดเชื้อ แต่ลูกชายอายุ 27 ปี ที่อยู่ในเวียดนามมารับพ่อที่สนามบินและนอนอยู่กับพ่อตั้งแต่วันที่ 17 มกราคม ต่อมามีไข้และไอในวันที่ 20 มกราคม ตรวจพบเชื้อ 2019-nCoVด้วยแสดงว่าลูกชายอยู่ใกล้ชิดกับพ่อ ติดจากพ่อ และรายนี้มีระยะฟักตัวของโรคเท่ากับ 3 วัน
2.มีกลุ่มสัตว์ปีกรวมถึงค้างคาวที่มีเชื้อ 2019-nCoV ลำคอและอุจจาระ แล้วถูกนำมารวมกันในกรงและขายในตลาดสดแห่งนี้สัตว์เหล่านี้ไม่ได้ป่วยแต่เป็นรังแพร่เชื้อโรค โดยเฉพาะขณะที่มีการร้องของสัตว์ปีกหรือการถ่ายมูลอุจจาระที่มีเชื้อโรคออกมาเป็นละอองฝอยมักจะเกิดขึ้นตอนที่จะเชือดคอสัตว์ปีกให้ตายต่อหน้าลูกค้าที่มาซื้อทำให้คนที่เดินผ่านหรือลูกค้าที่มาซื้อสัตว์ เข้าไปรับเชื้อที่กระจายเป็นละอองฝอยเข้าสู่หลอดลมและปอด
3.มีสัตว์ปีก 1 ชนิด หรือ 1 ตัว เช่น ค้างคาว 1 ตัว หรือกลุ่มค้างคาวที่มีเชื้อและบินอยู่ในอากาศ ปล่อยมูลนกกลางอากาศให้กลายเป็นละอองฝอย แล้วบินผ่านมาแพร่เชื้อ 2019-nCoVกลางอากาศในตลาดสดแห่งนี้ เป็นละอองฝอยต่อไปสู่สัตว์ปีกและผู้คนจำนวนมากที่เดินผ่านมาในตลาดสดหรือในพื้นที่นี้
4.มีคลิป (ดูรูปข้างล่าง 2 ภาพ) ที่ส่งต่อมาแจ้งว่ามีค้างคาวจำนวนมากอาศัยอยู่ใต้หลังคาบ้านในหมู่บ้านอู่ฮั่นถ้ามีค้างคาวมากแบบนี้จริงใต้กระเบื้องบุหลังคาและติดเชื้อ 2019-nCoVค้างคาวเหล่านี้อาจจะเป็นรังโรคและปล่อยมูลนกและสิ่งคัดหลั่งทางลมหายใจออกมาใต้หลังคาบ้านที่อยู่ในตลาดสดแห่งนี้หรือในพื้นที่บริเวณนี้แล้วแพร่เชื้อเป็นละอองฝอยสู่ผู้คนที่อาศัยในบ้านหรือพื้นที่ใกล้เคียง จนทำให้มีผู้สูดดมอากาศที่มีเชื้อปนเปื้อนและป่วยเป็นจำนวนมากจากพื้นที่แห่งนี้ผู้ป่วยบางรายจึงอาจจะไม่ได้ไปที่ตลาดสดอู่ฮั่น แต่อยู่ในมณฑลหูเป่ย์ และสูดอากาศที่มีละอองฝอย
ที่ปนเปื้อนเชื้อ 2019-nCoV ทำให้มีการรายงานผู้ป่วยที่อยู่ห่างไกลจากตลาดขายอาหารทะเลสดได้ หรือผู้ป่วยไม่เคยมาที่ตลาดแห่งนี้หากค้างคาวติดเชื้อกลุ่มนี้ไปอยู่ที่มณฑลอื่นของประเทศจีน ก็จะแพร่เชื้อในอากาศให้แก่ประชาชนในมณฑลอื่นได้ซึ่งจะทำให้มีการระบาดของโรคเร็วกว่าวิธีระบาดแบบ “คนสู่คน”
ข้อมูลที่จะแสดงให้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่า สมมุติฐานข้อใดน่าจะถูกต้องที่สุด คือต้องไปเก็บตัวอย่างอากาศในพื้นที่ ในบ้าน และจากมูลสัตว์และสิ่งคัดหลั่งเช่น น้ำลายของสัตว์ปีกเหล่านี้ในอู่ฮั่น
รวมทั้งค้างคาวที่อาศัยตามหลังคาบ้านแล้วนำมาตรวจเพาะเชื้อว่ามีเชื้อ 2019-nCoV ในตัวอย่างเหล่านี้หรือไม่?แล้วตรวจลำดับรหัสพันธุกรรมอีกครั้งเพื่อยืนยันว่า เป็นเชื้อชนิดเดียวกันจริงไหมกับที่พบในผู้ป่วย?
สถานการณ์ของโรค รายงาน ณ วันที่ 29 มกราคม2563
ทั่วโลก มีผู้ป่วยจำนวน 6,030 ราย ที่ตรวจพบเชื้อแล้วและยังคงมีจำนวนเพิ่มขึ้นอีกทุกวัน
ในประเทศจีนมีรายป่วย 5,974 ราย ที่ตรวจพบเชื้อแล้วผู้ที่มีอาการและสงสัยว่าจะติดเชื้ออีกยังมีอีก 6,973 ราย ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง 976 ราย และถึงแก่กรรม 132 ราย (อัตราตายร้อยละ 2.2) ผู้ป่วยที่ถึงแก่กรรมโดยมากเป็นผู้สูงอายุและมีโรคอื่นในกลุ่ม NCD ร่วมด้วย
นอกประเทศจีน พบผู้ป่วย 56 ราย ที่ตรวจพบเชื้อแล้วและอยู่ใน 14 ประเทศ
ประเทศไทย
ตรวจพบรายแรกที่สนามบินสุวรรณภูมิโดยทีมบุคลากรทางการแพทย์ที่มีนายแพทย์โรม บัวทอง สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค เป็นหัวหน้าทีมเฝ้าระวัง และได้ส่งตัวอย่างไปตรวจที่ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ด้วยเมื่อถอดรหัสพันธุกรรมของเชื้อก็พบว่า เป็นเชื้อ 2019-nCoV โดย ดร.สุภาภรณ์ วัชรพฤษาดี ทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศแรก
นอกประเทศจีนที่ตรวจพบเชื้อไวรัส 2019-nCoV ได้ก่อนประเทศอื่นและมีความสำคัญอย่างยิ่งในการแสดงข้อมูลทางระบาดวิทยาและการควบคุมโรคนี้
จนถึงวันที่ 29 มกราคม มีผู้ป่วยทั้งหมด 14 ราย ที่ตรวจพบเชื้อชนิดนี้ เป็นคนไทย 1 ราย ที่เหลือเป็นคนจีน ยังไม่มีรายใดถึงแก่กรรมมีรายที่หายดีและบินกลับเมืองจีนแล้ว 5 ราย (ในวันที่ 28 มกราคม นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ประกาศว่า มีผู้ป่วยรายใหม่อีก 6 ราย เป็นชาวจีนที่เดินทางมายังประเทศไทย โดยใน5 รายนั้น เป็นครอบครัวเดียวกันที่เดินทางมาเที่ยวคือ เป็นพ่อแม่ลูกหลานกันและเดินทางมาจากมณฑลหูเป่ย์ประเทศจีน
ยังไม่มีแพทย์ บุคลากรทางการแพทย์หรือผู้ติดเชื้อ “คนสู่คน”จากการแพร่กระจายในประเทศไทย
นอกจากนี้อยากจะแสดงข้อมูลว่า การตรวจคัดกรองที่สนามบินพบ มีผู้ป่วยเข้าเกณฑ์ต้องเฝ้าระวังสะสมทั้งหมด 84 รายคัดกรองจากสนามบิน 24 ราย มารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอง 60 ราย อนุญาตให้กลับบ้านได้แล้ว 45 ราย ส่วนใหญ่ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล และยังคงรับไว้ในห้องแยกโรค จำนวน39 ราย เพื่อรอการยืนยันการติดเชื้อชนิดนี้
วิธีการติดต่อของเชื้อไวรัส 2019-nCoV ที่ก่อโรค
การระบาดในกลุ่มชนจำนวนมากและป่วยเป็นโรคปอดอักเสบในบางราย พร้อมๆ กันในเมืองอู่ฮั่นหรือเมืองจีน แสดงว่า วิธีการแพร่เชื้อจะเป็นวิธีผ่านทางการสูดดมละอองฝอยในอากาศที่มีเชื้อไวรัสปะปนอยู่แหล่งที่แพร่เชื้อน่าจะเป็นตามสมมุติฐานในข้อที่สองถึงสี่มากที่สุด (โดยเฉพาะสมมุติฐานข้อ 4) เพราะการกินสัตว์ปีกหรือค้าวค้าง(หรืองู)เป็นการติดเชื้อจากการสัมผัส ซึ่งจะแพร่เชื้อได้ช้ากว่ามากไม่รวดเร็วแบบที่พบในครั้งนี้ และเชื้อไวรัสอาจจะตายไปแล้วในขณะปรุงอาหารด้วยความร้อนจากการที่มีผู้ป่วยบางรายกลับไปยังประเทศของตนห่างไกลจากประเทศจีนแล้วยังไม่พบชัดเจนว่า มีผู้ที่อยู่ใกล้เคียงผู้ป่วย เช่น ภรรยา สามี ลูกหลานในบ้านเดียวกันเพื่อนในสถานที่ทำงานเดียวกันกับผู้ป่วยหรือผู้โดยสารในเครื่องบินหรือรถโดยสารด้วยกัน ป่วยหลายรายพร้อมๆ กัน เป็นวงกว้าง ก็จะสนับสนุนว่าการแพร่เชื้อจาก “คนสู่คน”ยังมีโอกาสน้อยมากและไม่สามารถแพร่เชื้อได้รวดเร็วแบบที่เห็นในเมืองจีนในครั้งนี้ ดังนั้น การหลีกเลี่ยงการเดินทางเข้าไปในพื้นที่ระบาด เป็นวิธีที่ดีที่สุดเพราะอากาศในพื้นที่เป็นมลพิษไปแล้วจนกว่าสัตว์ที่เป็นแหล่งเพาะและแพร่เชื้อโรค เช่น ค้างคาว ได้ถูกกำจัดไปหรือถูกเลี้ยงดูในระบบปิดที่ไม่ให้อากาศถ่ายเทง่ายจากภายในกรงสู่อากาศภายนอก
ความรุนแรงของโรคยังขึ้นอยู่กับจำนวนเชื้อที่เข้าไปถึงเนื้อเยื่อปอดที่ยอมให้เชื้อเข้าไปในเซลล์ได้ (receptor ที่ผิวเซลล์มนุษย์และตัวจับ receptor ที่ผิวเซลล์ของเชื้อไวรัส ต้องตรงกันด้วย)และความลึกของเชื้อที่เข้าไปในปอดละอองฝอยที่มีขนาดเล็กกว่า2.5 ไมครอน และมีเชื้อไวรัสปะปนอยู่ สามารถล่องลอยผ่านรูจมูกคอหอย หลอดลม ลึกจนไปถึงเนื้อปอดได้ (ในความเป็นจริง ละอองฝอยมักจะลอยชนมูกตามขนจมูก มูกที่เคลือบเนื้อเยื่อบุคอหอยทำให้เชื้อติดอยู่ที่ทางเดินหายใจส่วนบนและยังไม่สามารถทำให้เกิดปอดอักเสบได้ทันที ต้องค่อยๆ แบ่งตัวและลอยเข้าไปในเนื้อปอดในระยะต่อไป) และยังขึ้นกับจำนวนเชื้อที่สามารถหลุดลอยเข้าไปถึงเนื้อปอดพร้อมๆ กันสมมุติว่า มีเชื้อล่องลอยหลุดไปถึงเนื้อปอดพร้อมกันหลายหมื่นหลายแสนตัว ก็จะทำให้ปอดอักเสบพร้อมๆ กันหลายที่จนเนื้อปอดทำหน้าที่แลกเปลี่ยนออกซิเจนไม่เพียงพอจนเกิดภาวะการหายใจล้มเหลวฉับพลันขณะเดียวกัน ภูมิต้านทานของผู้ป่วยยังไม่สามารถสร้างภูมิต้านทานมาต่อสู้ทำลายเชื้อได้ทันกาลด้วยเพราะเม็ดเลือดขาวเพิ่งพบกับเชื้อไวรัสเป็นครั้งแรกผู้ป่วยจึงอาจจะเสียชีวิตได้ข้อมูลของผู้เสียชีวิตจากโรคนี้พบว่าส่วนมากเป็นผู้ป่วยสูงอายู (เลยสร้างภูมิต้านทานช้าจนมาสู้เชื้อไม่ทัน) และเป็นผู้ที่มีโรคปอดเรื้อรังอยู่แล้ว ทำให้ปอดอักเสบที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อรุนแรงและรวดเร็ว ทำให้เกิดภาวะการหายใจล้มเหลวฉับพลัน ส่วนผู้ที่มีปอดแข็งแรง ก็สามารถทนต่อการก่อโรคของเชื้อที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นจนถึงเวลาที่ภูมิต้านทานของผู้ป่วยเกิดมามากพอจนต่อสู้ทำลายเชื้อก่อโรคได้ทันก่อนที่เนื้อปอดจะเสียหายมากจนแก้ไขไม่ทันผู้ป่วยที่แข็งแรงกว่าจึงป่วยและฟื้นตัวได้ทันจากภูมิต้านทานของตนเอง
ดังนั้น การที่เจ็บป่วยเป็นปอดอักเสบรุนแรงจนถึงแก่กรรม จึงขึ้นอยู่กับความเล็กและความง่ายของละอองฝอยที่จะผ่านไปถึงเนื้อปอด ยิ่งเข้าถึงได้ง่ายก็จะก่อโรคได้มากและรวดเร็วจำนวนเชื้อที่เข้าไปถึงเนื้อปอดพร้อมๆ กัน ในเวลาเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน หากมีจำนวนมากและเข้าถึงพร้อมกัน ระยะฟักตัวของโรคสั้น เช่น2 ถึง 4 วัน จะทำให้ป่วยเป็นปอดอักเสบได้มากและรุนแรงมากจนร่างกายสร้างภูมิต้านทานไม่ทันผู้ที่สวมหน้ากากอนามัยจะป้องกันหรือลดจำนวนเชื้อที่จะเข้าปอดได้ผู้ที่มีเนื้อปอดปกติ ไม่มีโรคปอดเรื้อรัง จะทนโรคติดเชื้อได้นานกว่าผู้ที่นอนพักผ่อน จะไม่ช่วยให้เชื้อลอยลึกเข้าไปในปอดได้เร็วในทางกลับกัน ส่วนผู้ที่อ้วนมาก หรือผู้ที่วิ่งออกกำลังกายในระยะที่เริ่มป่วยและหายใจในอากาศที่มีเชื้อในคอหอยหรือในอากาศโดยรอบขณะออกกำลังกาย จะหายใจลึกๆหรือหอบจากการออกกำลังกาย และทำให้เชื้อเข้าไปในปอดได้เร็วและมีจำนวนได้มากกว่าคนที่พักผ่อนทำให้ผู้ป่วยที่ยังออกกำลังกาย เกิดความเจ็บป่วยได้รุนแรงในเวลาอันสั้น
การเจ็บป่วยและความรุนแรงของโรคจึงขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน และไม่ได้ขึ้นอยู่กับการที่มีเชื้อเข้าไปในทางเดินหายใจอย่างเดียวเท่านั้น
ลักษณะคลินิกของโรค
การติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ อาจจะทำให้มีผู้ที่ป่วยเล็กน้อยหรือไม่มีอาการชัดเจนเรายังไม่ทราบว่า จำนวนผู้ที่ไม่มีอาการหรือป่วยเพียงเล็กน้อยว่า มีเท่าใดหรือมีอัตราส่วนเท่าใดของผู้ติดเชื้อ? แต่มีผู้ตั้งสมมุติฐานว่า ผู้ที่มีอาการชัดเจน อาจจะมีอัตราป่วยเพียงร้อยละ 5 ถึง 10 เท่านั้น ดังนั้น อาจจะมีผู้ติดเชื้อที่มีอาการน้อยเดินไปมาในชุมชนได้แต่ถ้าเขาไม่ไอ-จาม ก็จะไม่แพร่เชื้อออกมาทางลมหายใจ หรือถ้ามีเชื้อในลมหายใจปกติ จะมีเชื้อจำนวนน้อยมาก ซึ่งจะทำให้โอกาสที่จะแพร่เชื้อทางอากาศน้อยมากตามไปด้วย
ส่วนผู้ป่วยที่แสดงอาการชัดเจน จะอาศัยหลักการวินิจฉัยดังนี้
1.ผู้ที่มีประวัติเดินทางมาจากเมืองจีนโดยเฉพาะเมืองอู่ฮั่นและเมืองในแถบตะวันออกของประเทศจีนหรืออยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยจีนที่เดินทางมาเที่ยวในประเทศไทยและป่วยภายใน 14 วันหลังจากออกมาจากเมืองจีนหรือสัมผัสรายป่วยนั้นแล้ว
2.ผู้ที่มีไข้ ไอ มีเสมหะ เสมหะอาจจะมีเลือดติดเป็นเส้นสายหายใจเหนื่อย ปวดเมื่อยตามตัว (อาจจะเป็นโรคติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ก็ได้และมีอาการเหมือนกัน)
ที่น่าสนใจคือ ผู้ป่วยที่รายงานใน Lancet ไม่ค่อยมีอาการในระบบทางเดินหายใจส่วนบน เช่น เจ็บคอ น้ำมูกไหล แต่จะมีอาการไอและปอดอักเสบเลยและไม่ค่อยมีอาการอุจจาระร่วงด้วยแสดงว่า เชื้อจะไปก่อโรคได้ดีในเซลล์เยื่อบุหายใจส่วนล่าง แต่อาจจะไม่สามารถไปก่อโรคในเซลล์เยื่อบุทางเดินอาหารส่วนเซลล์ที่ใช้เพาะเลี้ยงเชื้อก่อโรคจะเป็น human airway epithelialcell, Vero E6 (ได้มาจาก kidney epithelial cells) และ Huh-7(ได้มาจากตับ) cell lines
ภาพถ่ายรังสีทรวงอกของรายที่ป่วยเป็นปอดอักเสบรุนแรงจาก 2019-nCoVจาก NEJMJanuary 24, 2020DOI:10.1056/NEJMoa2001017
อัตราการตายต่อรายป่วย
เชื้อกลุ่มนี้มีอัตราการตายของผู้ป่วย(case fatality rate)ดังนี้
-ผู้ป่วยโรคติดเชื้อ SARS-CoV ตายร้อยละ 9.5
-ผู้ป่วยโรคติดเชื้อ MERS-CoV ตายร้อยละ 34.4
-ผู้ป่วยโรคติดเชื้อ 2019-nCoV ในประเทศจีนตายร้อยละ 2.2 (ประเทศจีนวันที่ 29 มกราคม 2563)
การรักษาโรคนี้
ให้รับผู้ป่วยไว้รักษาในห้องแยกที่มีความดันอากาศในห้องเป็นลบ ซึ่งมีอยู่แล้วในโรงพยาบาลขนาดใหญ่หรือโรงพยาบาลศูนย์ ผู้ป่วยสวมหน้ากากอนามัย ให้การรักษาแบบประคับประคองมีการให้ออกซิเจนหรือใส่ท่อช่วยหายใจตามความจำเป็น เป็นต้น ผู้ป่วยที่สงสัยว่าติดเชื้อจะต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทันที และห้ามผู้ป่วยเดินทางไปทำงานหรืออยู่ที่บ้านโดยเด็ดขาด โรงพยาบาลต้องมีการวิธีกำจัดเชื้อไวรัสในพื้นที่และสถานที่โดยรอบที่ตรวจพบเชื้อแพทย์ต้องรายงานผลการตรวจผู้ป่วยทุกรายที่พบการติดเชื้อไวรัสโคโรนาให้กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และ สสจ. ในแต่ละจังหวัดด้วย
การป้องกันการติดเชื้อสำหรับคนไทย
การป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่2019-nCoV คือ หลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังเมืองจีนในแถบตะวันออกรวมถึงเมืองต้นตอคือ เมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย์ ซึ่งตอนนี้ ประเทศจีนประกาศปิดการเข้า-ออกเมืองไปแล้วหลายเมือง เท่ากับควบคุมมิให้มีการแพร่ของโรคออกไปที่อื่นๆ แต่ต้องไม่มีผู้คนหนีออกจากเมืองไปก่อนที่จะมีการประกาศ
สำหรับบุคคลทั่วไปให้หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัด ควรสวมหน้ากากอนามัยทั่วไป หรือ N95 เมื่อออกไปในที่ชุมชนให้อยู่ห่างจากผู้ที่ไอ จาม อย่างน้อย 2 เมตร หรือให้อยู่ต้นลม
เมื่อเข้าใกล้ผู้ที่ต้องสงสัยหมั่นล้างมือด้วยสบู่หรือใช้แอลกอฮอล์เจลถูเช็ดมือ ไม่นำมือมาสัมผัสเยื่อบุตา จมูก ปาก ประชาชนสามารถติดตามสถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (2019-nCoV) ได้ที่ website ขององค์การอนามัยโลก
หากใครกลับมาจากประเทศจีนในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาแล้วมีไข้ ไอ มีเสมหะ หายใจเหนื่อยหอบ ให้ไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลทันทีพร้อมทั้งแจ้งประวัติการเดินทางด้วย
ส่วนผู้ที่รู้สึกตัวว่า มีไข้ ไม่สบายหรือรู้สึกป่วย ยิ่งต้องสวมหน้ากากอนามัยไว้ก่อนและพักรักษาตัวในโรงพยาบาลเวลาไอหรือจามให้ใช้กระดาษทิสชู่หรือแขนเสื้อป้องกันการกระเด็นของน้ำลายและเสมหะ หากเพิ่งกลับมาจากเมืองจีนหรือสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยปอดบวมให้ไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลศูนย์ กรมควบคุมโรค หรือ โรงพยาบาลบำราศนราดูร และติดตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุขในเรื่องแนวทางการประสานงานเมื่อพบผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวน Novel coronavirus 2019
สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ที่ดูแลผู้ป่วยที่สงสัยหรือป่วยติดเชื้อจากโรคนี้แนะนำให้ป้องกันตนเองเต็มที่ทั้งวิธีแบบcontact precaution และ airborne precaution รวมถึงuniversal precaution เพื่อให้ความมั่นใจและป้องกันการติดเชื้อให้บุคลากรทางการแพทย์ที่เข้าไปดูแลรักษาผู้ป่วยจึงแนะนำแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ให้ใช้อย่างน้อยหน้ากาก N95 ในการป้องกันการติดเชื้อทางละอองฝอยและ droplet หรือจะใส่ชุดอวกาศคลุมศีรษะเพื่อป้องกันการติดเชื้อจากทุกช่องทางของการติดต่อเพราะเป็นการเข้าไปดูผู้ป่วยที่มีเชื้อจำนวนมากกว่าผู้ป่วยที่ป่วยเล็กน้อยหรือยังไม่เจ็บป่วยวิธีป้องกันแบบนี้ไม่เหมาะสมที่จะมาใช้กับบุคคลทั่วไปในชุมชนนอกโรงพยาบาล
ยาต้านไวรัสที่อยู่ระหว่างการศึกษาทดลอง
ยังไม่มียาขนานใดที่ผ่านการรับรองให้ใช้เป็นยามาตรฐานในการรักษาโรคนี้มีแต่ยาต้านไวรัสที่อยู่ระหว่างการทดลองทั้งในสัตว์และผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนา ได้แก่
1.ยา lopinavir และ ritonavir(ในเมืองจีนขณะนี้ทดลองใช้ยา Aluvia®เป็นยาสองขนานร่วมกัน) เพื่อยับยั้งการผลิตโปรตีนให้เชื้อชนิดนี้ขณะที่เชื้อกำลังอยู่ในเซลล์มนุษย์ เพราะเคยใช้ได้ผลบ้างกับเชื้อไวรัส SARS-CoV มาแล้ว(ในโรค SARS มีการให้ยาribavirin ที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการเพิ่มจำนวนเชื้อไวรัสร่วมด้วย) แต่เป็นการศึกษาที่ไม่ใช่ randomized control trial (RCT) เมื่อกินยาและยาเข้าไปในกระแสเลือด ยาคู่นี้รวมตัวกับโปรตีนในเลือดสูงมากถึงร้อยละ 95 ขึ้นไป จึงเหลือตัวยาอิสระเพียงเล็กน้อยที่จะไปออกฤทธิ์บังเอิญเชื้อ HIV ไวต่อยากลุ่มนี้มากๆ จึงใช้ได้ผลดีแต่เชื้อ coronaviruses ไม่ค่อยไวต่อยาคู่นี้จึงอาจจะใช้ไม่ได้ผลดีกับโรคติดเชื้อเชื้อ 2019-nCoV ขณะนี้ กำลังทดลองศึกษาประสิทธิผลของยา Aluvia®แบบ RCT ที่ประเทศจีนอยู่น่าจะทราบผลการรักษาเบื้องต้นภายใน 6 เดือนข้างหน้า
2.ยากลุ่ม interferon beta-1b มีชื่อว่า remdesivir ผลิตโดย
Gilead และออกฤทธิ์ต้านการทำงานของเอนไซม์ polymerase ของเชื้อไวรัส
3.โมโนโคลนอล แอนติบอดี ผลิตโดย Regeneron Pharmaceuticals ใช้ในการทำลายเชื้อไวรัสนอกเซลล์
4.อาจจะใช้ยาในข้อ 2 ร่วมกับข้อ 3 คือ remdesivir+ monoclonal antibodies ของเชื้อชนิดนี้ในการรักษา
หลักการรักษาคือต้องให้ยาต้านไวรัสตั้งแต่เริ่มติดเชื้อแต่ผู้ป่วยมักจะมาหาแพทย์เมื่อป่วยเป็นปอดบวมเต็มขั้นหรืออยู่ในระยะท้ายของโรคทำให้ผลการรักษาไม่ดีการรักษาโรคติดเชื้อไวรัสลงปอด ต้องใช้วิธีการรักษาแบบไข้หวัดใหญ่ คือ ให้ยาเร็วตั้งแต่ระยะแรกของโรคที่ผู้ป่วยยังไม่เป็นปอดบวมหรือยังไม่เกิดความเสียหายใดๆต่อเนื้อปอด เพื่อให้การรักษาด้วยยาต้านไวรัสได้ผลดีที่สุด ดังนั้นจึงต้องมี rapid test หรือการทดสอบด้านการวินิจฉัยเชื้อก่อโรคให้ทราบผลโดยเร็วที่สุดในผู้ป่วยที่เริ่มมีไข้ ไอ ในวันแรกที่ป่วยด้วย
วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อ 2019-nCoV
สามารถผลิตได้ในระยะเวลา 6 ถึง 12 เดือนข้างหน้าแต่มีปัญหาด้านการลงทุนว่า ถ้าไม่มีการระบาดของโรคหรือมีการติดเชื้ออีกการลงทุนทำวัคซีนจนผ่านการศึกษาทดลองและรับรองให้ใช้ได้ในมนุษย์ อาจจะได้ผลลัพธ์ด้านทุนทรัพย์ไม่คุ้มค่ากับการลงทุนก็ได้
ข้อมูลสู่ประชาชน
สรุปได้ว่าเมื่อตรวจสอบข้อมูลต่างๆ และระบบการตรวจค้นหาผู้ติดเชื้อและมาตรการการควบคุมการระบาดในประเทศของรัฐบาลแล้วแพทยสภาขอให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นว่า กระทรวง
สาธารณสุข กรมควบคุมโรค และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคติดเชื้อต่างๆรวมทั้งแพทยสภา แพทยสมาคมแห่งประเทศไทยฯ ได้มาช่วยกันดูแลในเรื่องโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาอย่างใกล้ชิด เพื่อควบคุมโรคนี้มิให้มีการระบาดในประเทศไทยให้ได้ ระบบการเฝ้าระวังที่สนามบินและท่าเรือรวมทั้งด่านต่างๆ ที่มีคนจีนเข้ามาต้องมีระบบตรวจค้นหารายป่วยอย่างที่กระทรวงสาธารณสุขได้วางระบบการตรวจค้นที่สนามบินและวางระบบการส่งต่อและดูแลผู้ป่วยที่ต้องสงสัยไว้แล้วตามจุดต่างๆ ในประเทศมีแนวทางการประสานงานที่ชัดเจนและผู้รับผิดชอบได้เฝ้าติดตามสถานการณ์ของโรคทั้งในต่างประเทศและในประเทศอยู่แล้ว
ฝ่ายสัตวแพทย์ต้องเริ่มสำรวจพาหะที่นำเชื้อโรค 2019-nCoV เช่น ค้างคาวโดยเฉพาะในภาคเหนือหรือเขตอพยพของสัตว์ปีกจากประเทศจีนมาที่ประเทศไทยว่า ตรวจพบเชื้อไวรัสชนิดนี้ในมูลสัตว์และสิ่งคัดหลั่งจากช่องปากหรือไม่? และทำการเฝ้าระวังตรวจหาเชื้อเป็นระยะๆ การนำสัตว์ที่มีชีวิตข้ามประเทศเป็นสิ่งต้องห้ามอยู่แล้วแต่ต้องเพิ่มระบบตรวจตราให้เข้มข้นเพราะยังมี
ผู้ลักลอบนำเข้ามาอยู่ขณะนี้ คาดว่า สัตว์ปีกเหล่านี้ในประเทศไทยยังไม่เป็นพาหะของเชื้อไวรัสนี้ การสูดอากาศในประเทศไทยจึงยังมีความปลอดภัยจากโรคติดเชื้อชนิดนี้ ส่วนการติดต่อจาก “คนสู่คน” เป็นไปได้อย่างจำกัดมากหากผู้ใดเจ็บป่วยเป็นไข้และแสดงอาการของระบบทางเดินหายใจขอให้สวมหน้ากากอนามัยทั้งผู้ป่วยและญาติที่เข้ามาดูแลอย่างใกล้ชิดจะลดการแพร่แบบ “คนสู่คน” ได้มากและแนะนำให้พาผู้ป่วยไปตรวจหาเชื้อก่อโรคว่า เป็นเชื้อชนิดใดในโรงพยาบาลต่างๆ ของรัฐ
จึงขอให้แพทย์ช่วยกันให้ความมั่นใจแก่ประชาชนว่า ประเทศไทย “เอาอยู่แน่” อย่างแน่นอน เรื่องการระบาดของโรคติดเชื้อโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ภายในประเทศ
ศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์อมร ลีลารัศมี
นายกแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยฯ
อดีตประธานราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย
อดีตนายกสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี