การระบาดทั่วโลก (pandemic) ของเชื้อโคโรนาไวรัส COVID-19 กำลังเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดของประเทศไทยและชาวโลก อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นการระบาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคปัจจุบัน ผมจึงอยากนำข้อมูลทั้งหลายมาสรุปให้ท่านผู้อ่านฟัง โดยจะเน้นการดูแลตนเอง ของผู้ที่ยังมีสุขภาพที่ดี ที่ยังไม่ได้ติดเชื้อ
ทุกๆ คนควรดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ด้วยการนอนให้พอกินอาหารเพื่อสุขภาพให้เหมาะสม ดื่มน้ำอุ่นมากๆ ไม่ควรเปิดแอร์เย็นเกินไป อย่างผมปกติจะเปิดแอร์ที่บ้านประมาณ 25 องศา แต่ช่วงนี้จะเปิดตั้งแต่ 26-27 องศา เปิดเพียงให้เย็นพอสบาย ไม่ให้เย็นมาก เพราะเชื้อไวรัสชอบความเย็น และนอกจากนั้นถ้าเราเปิดแอร์เย็นไป นานไป เราอาจเป็นไข้หวัดธรรมดา หรือทำให้มีอาการของโรคภูมิแพ้ได้ซึ่งอาจจะมีปัญหาในการแยกแยะโรคจากไข้หวัดธรรมดา โรคภูมิแพ้ที่มีไอ จาม กับโรค COVID-19 ฯลฯ เปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเท ทำความสะอาดห้องและทุกอย่างในห้องให้มากที่สุดที่จะทำได้
ควรแยกของใช้ในห้องน้ำ ผ้าเช็ดมือ ผ้าเช็ดตัว แก้ว ถ้วย ชาม ช้อน ส้อม ตะเกียบ อย่าดื่ม กิน ของจากจานเดียวกันกับคนอื่น หรือช้อนเดียวกัน แก้วใครแก้วมัน
ก่อนอื่น ขอย้ำก่อนว่า เชื้อไวรัสตระกูล coronavirus มีมานานแล้ว แต่ COVID-19 เป็นสายพันธุ์ใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นในมนุษย์ การติดเชื้อจะเกิดขึ้นใน 2 สถานการณ์หลักๆ คือ
1) ติดต่อโดยตรงจากผู้ที่มีเชื้อ โดยจะมีอาการแล้วหรือไม่มีอาการก็ได้ (อาจมีอาการ แต่น้อยมาก) การแพร่เชื้อจะเกิดขึ้นเวลาผู้มีเชื้อ (เชื้อมักอยู่ในจมูก คอ และส่วนลึกของปอด) ไอ หรือจามใส่คนอื่น ซึ่งในการไอ จาม จะมี droplets หรือละอองฝอยกระเด็นออกมา (ทั้งนี้ ในผู้ที่เริ่มมีเชื้อ แต่ยังไม่มีอาการ(มาก) การพูดดังๆ อาจมีละอองฝอยกระเด็นออกมาด้วย) เนื่องจากทั้ง droplets และเชื้อไวรัสมีความหนัก จะไปได้ไม่ไกล ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าประมาณ 1-2 เมตร ละอองฝอยที่มีไวรัสก็จะตกลงสู่พื้นหรือสิ่งต่างๆ ที่อยู่แถวนั้น เช่นโต๊ะ เก้าอี้ ของที่อยู่บนโต๊ะ ฯลฯ หรือผู้ติดเชื้อเอามือที่มีเชื้อไปจับของต่างๆ เชื้อก็จะอยู่ ณ ที่ต่างๆ
2) ติดต่อทางอ้อม คือ ผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อ เอามือไปจับวัตถุต่างๆ ที่มีเชื้อแล้วเอามือไปจับหน้า โดยเฉพาะที่ตา จมูก ปาก เชื้อไวรัสก็จะเข้าสู่ร่างกายได้
3) เชื้ออาจอยู่ในอาหารที่ไม่ได้ประกอบให้สุก รวมทั้งไข่ด้วย (หรือผู้ป่วยไอ จามใส่อาหาร หรือไม่ใช้ช้อนกลาง แต่ใช้ช้อนของตัวผู้ติดเชื้อที่ใช้เข้าปากแล้วตักอาหาร ฯลฯ)
ฉะนั้นวิธีการดูแลตนเองที่ดีที่สุดของผู้ที่ยังไม่มีเชื้อ คือ 1) อย่าไปอยู่ใกล้ผู้ที่ไอ จาม (ไม่ว่าจะเป็นผู้ติดเชื้อ COVID-19 หรือเป็นโรคหวัดหรือโรคภูมิแพ้) ควรอยู่ห่างจากผู้ที่ไอ/จาม 1-2 เมตร ถ้าเป็นไปได้
2) อย่าเอามือแตะหน้า โดยเฉพาะตา จมูก ปาก แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องยาก ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำให้ล้างมือด้วยน้ำและสบู่บ่อยๆ อย่างถูกต้องเหมาะสม อย่างน้อย 20 วินาที มีการสอนวิธีการล้างมืออยู่ทั่วๆ ไปถ้ามือสะอาดพอสมควร อาจทาแอลกอฮอล์เจลที่มีความเข้มข้น 70% ให้ทั่วมือ แต่ถ้ามือสกปรก มีของมันๆ เป็นเมือก ฯลฯ ควรล้างด้วยน้ำและสบู่ก่อน 3) เวลากินอาหาร ถ้าเป็นไปได้ แยกสำรับอาหาร ต่างคนต่างกินหรือมีช้อน 2 อันสำหรับแต่ละคน อันหนึ่งตักอาหารใส่จานเรา อีกอันตักอาหารเข้าปาก ผมอยากฝากไว้เรื่องการใช้ช้อนกลางตั้งแต่ต่อไปนี้ และตลอดไป ถึงแม้ COVID-19 อีกหน่อยจะหมดไปแล้ว เพราะการใช้ช้อนกลางเป็นวิธีสุขศึกษาที่สำคัญอันหนึ่ง แม้กระทั่งในกลุ่มแพทย์ที่กินอาหารกับผม ผมเห็นมีช้อนกลาง แต่หลายคนไม่ใช้ เอาช้อน หรือตะเกียบตัวเอง เขี่ยชิ้นอาหาร แต่ไม่กินชิ้นนี้ บางทีเขี่ยหลายชิ้นก่อนไปเลือกชิ้นอื่น แต่ในที่สุด อาหารจานนี้ก็หมด โดยไม่ทราบว่าใครกินชิ้นไหนไปบ้าง?!4) ทำความสะอาดสถานที่บ่อยๆ5) เปิดหน้าต่าง ประตูให้อากาศถ่ายเท
ถึงแม้แพทย์ทั้งไทยและต่างประเทศออกมาบอกว่าหน้ากากอนามัยเอาไว้ใช้กับผู้ป่วย ผู้ที่ไอ จาม มีเชื้อเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นโรคอะไร คนธรรมดาไม่ต้องใช้ แต่ช่วงนี้เราไม่ทราบใครมีเชื้อบ้าง ฉะนั้น เวลาไปโรงพยาบาล ไปที่ๆ มีคนมาก เราควรใส่หน้ากากอนามัย ถ้าเป็นไปได้เลือกได้ ต้องหลีกเลี่ยงที่ๆ มีคนมากๆ เช่น ห้างร้าน โรงพยาบาล รถเมล์ รถใต้ดิน การใช้ลิฟต์ ฯลฯ แต่เรื่องรถสาธารณะ คงลำบาก เพราะทุกๆ คนต้องไปทำงาน อาจจะต้องมีมาตรการทำงานที่บ้าน
ผู้ที่สบายดี ต้องงดเดินทางไปต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่กำลังมีปัญหาโรคนี้อยู่ ควรงดการไปเที่ยว กินนอกบ้าน เที่ยวในที่ต่างๆ เพราะหลายสถานที่มีแต่ห้องเปิดแอร์ ไม่ได้เปิดหน้าต่างให้มีอากาศถ่ายเท และหรือทำความสะอาดไม่ดีพอหรืออย่างทั่วถึง
ทุกๆ คนต้องร่วมมือกันครับ อย่าปล่อยให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาล หรือวงการสาธารณสุขเท่านั้น ถ้าเราเข้า phase 3 อย่างช้าที่สุด หรือมีการกระจายช้าที่สุด จะยิ่งดี เพราะยิ่งนานจะยิ่งมีการผลิตยาที่แพทย์ใช้ต้านไวรัสในขณะนี้อย่างเพียงพอ (ขณะนี้ผลิตได้จากประเทศจีน ญี่ปุ่น แต่ยังผลิตไม่พอใช้สำหรับประเทศเขาเอง) กลางปีหน้าน่าที่จะมีการผลิตวัคซีนได้สำเร็จ รัฐบาลเองก็ต้องฟังข้อมูล ข้อเสนอแนะจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอย่างมีเหตุผล นักวิชาการ เจ้าหน้าที่เองฯลฯ ก็มีหน้าที่ต้องเสนอข้อมูลที่ถูกต้อง ให้รัฐบาลทราบ ต้องกล้าแสดงความคิดเห็น กล้าเสนอแนะ ต้อง “ขาย” ของให้เก่งต่อรัฐบาล ช่วงนี้เป็นโอกาสชิ้นโบแดงแล้วที่กระทรวงสาธารณสุข นักวิชาการอื่นๆ จะแสดงความสามารถให้รัฐบาลเห็นชัดอีกครั้งว่าเขาแน่ ดังที่ทั่วโลกยกย่อง
ถ้าใครไม่มีหน้าที่หรือมีงานทำ ขอให้อยู่ที่บ้านครับ
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี