จากประสบการณ์การสอนนิสิตแพทย์ แพทย์ที่เรียนจบจากเกือบทุกโรงเรียนแพทย์ และประชาชน มาจะครบ 50 ปี ปีหน้า ผมมีความเห็นส่วนตัวว่า ทุกคณะในทุกมหาวิทยาลัย นอกเหนือจากหลักสูตรหลักที่นิสิตสมัครเข้าเรียนแล้ว ควรที่จะมีวิชาต่างๆ เหล่านี้เป็นวิชาบังคับให้นิสิตทุกคณะเรียน วิชาหรือหัวข้อต่างๆ เหล่านี้คือ
หัวข้อแรกเลย คือ สอนวิธีเรียน!! แพทย์ที่จบได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งที่มาพบผมในช่วงที่เป็นแพทย์ประจำบ้าน ภาควิชาอายุรศาสตร์ ปีที่ 2 อายุประมาณ 27-29 ปี มีความจำดี สมองดี แต่ความคิดสร้างสรรค์ วิเคราะห์ จับประเด็นได้น้อย
หัวข้อที่ 2 ภาษาอังกฤษสำคัญมาก ประชาชนชาวไทยทุกๆ คนควรที่จะมีความรู้ทางด้านภาษาอังกฤษมากกว่านี้ (และอาจภาษาจีน ญี่ปุ่น ด้วยสำหรับคนไทย) ประเทศอังกฤษโชคดีมากที่ภาษาเขาเป็นภาษาที่ทั่วโลกใช้ ทำให้เขา “ขาย” ภาษาอังกฤษของเขาได้ ทรัพยากรธรรมชาติของเขามีน้อยลงมาก นอกจากการท่องเที่ยวที่ประชาชนโลกยังทึ่งในที่เที่ยวต่างๆ เช่น Scotland,Cotswold, Stone Henge (ธรรมดาจะตาย) Bath (มีแต่อ่างอาบน้ำ) กรุงลอนดอน ที่มี House of Parliament, Big Ben เมือง Cambridge, Oxford, Winchester (อดีตเมืองหลวงเก่า) รร. Public Schools ที่ดังมากๆ Eton, Harrow, Winchester ฯลฯฟุตบอลพรีเมียร์ลีก Manchester United แต่ปีนี้ต้องก้มหัวให้ Liverpool (เขาแน่จริงๆ) pubs (ร้านขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยเฉพาะที่นิยมมากที่สุด เบียร์ถัง ที่ขายเป็น pint หรือ half a pintและที่ขายอาหารที่ถูกและอร่อยด้วย) ต่างๆ ที่บรรยากาศดีมากซ้ำวันอาทิตย์ยังมี Sunday Roast อีก ?! (น้ำลายหกแล้ว)แต่เขายังสามารถหารายได้จากการสอนภาษาอังกฤษให้ชาวต่างชาติที่แห่กันมาเรียน “The Queen’s English” หรือภาษาอังกฤษที่แท้จริง ผมเคยถามผู้ที่ทำงานในสหประชาชาติว่าทำไมไม่ค่อยมีเจ้าหน้าที่ที่เป็นคนไทย คำตอบก็คือ เขาชอบคนไทยมาก แต่ส่วนใหญ่ภาษาอังกฤษของคนไทยโดยทั่วๆ ไปไม่ดีพอ สำหรับบ้านเราใครที่มีความรู้ทางด้านภาษาอังกฤษ จะไม่อดตาย
หัวข้อที่ 3 ที่ผมคิดว่าควรมีการสอนในทุกคณะ คือ “การดูแลสร้างเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค” เพราะสุขภาพเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ทุกๆ คนต้องมีสุขภาพที่ดี สุขภาพ การศึกษา เศรษฐกิจ ความมั่นคงของชาติมักไปด้วยกัน ถ้าสุขภาพไม่ดีก็รวนไปหมด เรียนไม่ได้ ทำงานไม่ได้ เงินก็ไม่มีการดูแลสร้างเสริมสุขภาพ ป้องกันโรคมีหัวข้อหลักๆ เพียง 10 อย่าง คือ อาหาร ออกกำลังกาย ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ใช้ยา/สารเสพติดมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย เดินสายกลางในชีวิต ตรวจสุขภาพตอนเข้างานและเป็นระยะ ตรวจคัดกรองหาโรคตามเกณฑ์ของแพทย์ การป้องกันอุบัติเหตุบนถนน (สาเหตุการเสียชีวิตอันดับสองรองจากโรคมะเร็งสำหรับคนไทย) และการหกล้ม (โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ)
การสร้างเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค สำคัญมาก ต้องดูแลตนเองตั้งแต่เด็ก หัดกินผัก ผลไม้ ปลา ลดหวาน มัน เค็ม เนื้อสัตว์แดง เช่น เนื้อวัว หมู แพะ แกะ ฯลฯ เพราะ 70% ของการเสียชีวิตของชาวโลก(WHO-องค์การอนามัยโลก) มาจากโรคที่ไม่ติดต่อ (Non CommunicableDiseases หรือ NCDs) ซึ่งก็คือโรคที่เกิดจากพฤติกรรมของเราเองที่ทำไม่ดี ไม่ถูกต้อง มาเป็นระยะเวลาอันนาน สรุปก็คือ โรค NCDs ป้องกันหรือลดความเสี่ยงได้มาก จากการดูแล 10 หัวข้อที่กล่าวไว้เบื้องต้น
หัวข้อที่ 4 คือ การวางแผนการเงิน ทุกๆ คนควรมีความรู้ทางด้านการเงิน หรือ financial literacy ซึ่งก็คือ 1) มีความสามารถในการหาเงิน ขึ้นอยู่กับการศึกษาที่เหมาะสมกับความต้องการของตลาด2) การออมทันที 10-15% ของรายรับหรือเงินเดือน เป็นอย่างน้อย 3) การใช้จ่ายอย่างปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และ 4) การลงทุน เช่น ซื้อประกันชีวิต SSF, RMF กบข.-กองทุนสำรองเลี้ยงชีพกองทุนรวม หุ้น ทองบ้าง คอนโด บ้านให้เช่า ฯลฯ ทุกๆ คนต้องรู้จักคำว่า financial freedom หรืออิสรภาพทางการเงิน นั่นก็คือ มีรายได้จากทรัพย์สินในแต่ละเดือนมากกว่ารายจ่ายทรัพย์สิน คือ เงินฝาก กองทุน หุ้น บ้าน คอนโดให้เช่า ฯลฯ โดยเราไม่ต้องทำงาน เพื่อหารายได้ ทั้งนี้เราต้องรู้จักการลงทุนตั้งแต่รับเงินเดือนเดือนแรกยิ่งเริ่มเร็วจะยิ่งดี จะได้ “รวยก่อนเกษียณ” ไม่ใช่ “จนก่อนตาย”
หัวข้อที่ 5 คือ จิตวิทยา เราเป็นมนุษย์ ต้องอยู่กับมนุษย์ด้วยกัน คนเป็นสัตว์สังคม อยู่คนเดียวไม่ได้ ฉะนั้นทุกๆ คนควรที่จะต้องมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี เข้ากับทุกคน ทุกระดับได้ดี รู้จักพูดอย่างไร เมื่อไหร่ รู้จักฟัง ฉะนั้นคนที่มีจิตวิทยาสูงจะเป็นคนได้เปรียบผู้นำโดยเฉพาะจะต้องมีจิตวิทยาที่ดีด้วย
หัวข้อที่ 6 คือ กฎหมาย ทุกๆ คนต้องมีความรู้พื้นฐานทางด้านกฎหมาย กฎหมายประจำวัน ภาษี พินัยกรรม ฯลฯกฎหมายเป็นสิ่งที่ทุกๆ คนต้องรู้ จะอ้างว่าไม่รู้ไม่ได้
แต่ผมคิดว่าทั้ง 6 หัวข้อ ไม่ต้องเรียนมาก อย่างเช่น การดูแลสร้างเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค บรรยายแบบสบายๆ ยกตัวอย่างต่างๆ นานาใช้เวลา 3 ชั่วโมงก็พอ อย่างอื่นๆ ก็เช่นกัน แต่ประเด็นมีอยู่ว่าคนที่สอนมักต้องขอเป็นหน่วยกิตอย่างน้อยหนึ่งหน่วยกิต และหนึ่งหน่วยกิตต้องมี 14 ชั่วโมงของการบรรยาย หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ผมอยากให้เป็นความรู้ขั้นพื้นฐานที่ทุกๆ คนควรจะเรียนในทุกๆ คณะสอนแบบง่ายๆ เอาไปใช้ได้เลย ผมยินดีสอนให้ 3 ชั่วโมง ทางด้านการดูแลสร้างเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค โดยไม่ต้องมีหน่วยกิต
และที่สำคัญที่สุดคณาจารย์ต้องสอนนิสิตให้เป็นคนดี ที่เก่ง(มีโอกาสเรียน เรียนเป็น จับประเด็นเป็น เรียนรู้ตลอดชีวิต และเก่ง 7 อย่าง คือเก่งคิด คน งาน เงิน เวลา “ขาย” และฟัง) รอบรู้ และมีสุขภาพที่ดี
ถ้าทำสำเร็จ เมื่อนั้น คนไทยจะเป็นคนไทย 4.0 และพร้อมที่จะปรับเป็นคนไทย 5,6,7 ฯลฯ ตามกาลเวลา ประเทศชาติจะ“มั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน” ตามเจตนารมณ์ของผู้นำประเทศ
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี