สัตว์ต่างๆ จะแสดงออกถึงอาการเป็นสัดหรือฮีทเมื่อถึงช่วงฤดูผสมพันธุ์ เช่นแมวจะร้องหง่าวๆ หาคู่ทั้งตัวผู้และตัวเมีย สุนัขตัวเมียจะมีมูกเลือดออกและอวัยวะเพศบวม ลิงบาบูนตัวเมีย ก้นจะเปลี่ยนเป็นสีแดงจัด วัวตัวเมียจะยืนกระวนกระวายส่งเสียงร้องมูมูมีมูกออกมาจากช่องคลอด ทั้งมีกลิ่นที่อวัยวะเพศทำให้สัตว์ตัวผู้เข้าไปดม สำหรับคนอาการไม่ชัดเจน อย่างไรก็ตามนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามนุษย์หญิงชายมีการสื่อสารกันในช่วงไข่ตกโดยการผ่านฮอร์โมนที่ชื่อฟีโรโมน (pheromone)
ฟีโรโมนเป็นสารเคมีที่คนหรือสัตว์สร้างขึ้น วัตถุประสงค์คือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์เดียวกัน รวมไปถึงกระตุ้นความต้องการทางเพศ ฮอร์โมนโดยทั่วไปอยู่ภายในและออกฤทธิ์ในร่างกายตนเอง ส่วนฟีโรโมน เป็นฮอร์โมนที่ออกฤทธิ์ภายนอกร่างกาย ส่งผลไปยังผู้อื่น
การออกฤทธิ์ของฟีโรโมน ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเชื่อว่าฮอร์โมนไปกระตุ้นส่วนของจมูกชื่อ วีเอ็นโอ (vomeronasal organ, VNO) ซึ่งเชื่อมต่อกับสมองส่วนไฮโปธาลามัสแต่ในคน วีเอ็นโอมีตอนเป็นตัวอ่อนในครรภ์เมื่อเติบโตได้ฝ่อหายไป จึงเชื่อว่าฟีโรโมนใช้กลไกรับกลิ่นของจมูกตามปกติ ส่งกระแสประสาทไปยังสมอง
นพ.กุสตาฟ (Gustav Jäger 1832-1917) เป็นนักวิทยาศาสตร์คนแรกที่ค้นพบฟีโรโมนซึ่งเป็นสารที่เกาะติดกับไขมันที่ผิวหนังและรูขุมขน บริเวณจุดต่างๆ เช่นอวัยวะเพศทวารหนัก รักแร้ ขาหนีบ ซอกคอ ผิวหนังน้ำปัสสาวะ เป็นสารไม่มีกลิ่น หากมีแบคทีเรีย จึงเกิดกลิ่นเฉพาะ
มีหลักฐานว่า ฟีโรโมนเกี่ยวข้องกับการตกไข่ ผ่านการทดลองของ นักวิจัยชื่อมาร์ธา แมคคลินต๊อค ปรากฏการณ์นี้เรียก“McClintock effect.” โดยเก็บเหงื่อของหญิงหนึ่งให้หญิงอีกคนดม พบว่าสามารถเร่งให้ไข่ตกเร็วหรือช้ากว่าเดิมได้ ขึ้นอยู่ว่าเก็บเหงื่อช่วงที่หญิงอีกคนในช่วงไหน แม้งานวิจัยนี้จะมีผู้แย้งว่าหลักฐานไม่ชัดแจ้ง แต่ในชีวิตประจำวันพบว่า หญิงที่อยู่ใกล้ชิดกัน เป็นแม่ลูก หรือเป็นรูมเมทอยู่ด้วยกันในห้องเดียวกัน จะมีประจำเดือนมาพร้อมกัน เชื่อว่าเป็นฝีมือของฟีโรโมนนั่นเอง
แม้นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถฟันธงว่าฟีโรโมนคือฮอร์โมนชนิดใดแต่เชื่อว่ามีจริง จากงานวิจัยต่อไปนี้
งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเบิร์กลีย์แคลิฟอร์เนีย ค.ศ.2013 เอาผ้าเปื้อนเหงื่อชายที่ออกกำลังกาย ไปให้ผู้หญิงดม เหงื่อเหล่านี้มีฮอร์โมนเพศชาย andrastadienone พบว่าสามารถกระตุ้นฮอร์โมนคอร์ติซอลในเพศหญิงที่ดมเหงื่อ เพิ่มความต้องการทางเพศให้ฝ่ายหญิงโดยเฉพาะในช่วงไข่ตก หากให้เพศชายดม สามารถเพิ่มความร่วมมือของเพศชายได้เชื่อว่าฮอร์โมนเหล่านี้อาจจะเป็นฟีโรโมน
งานวิจัยในปีค.ศ. 2004 มหาวิทยาลัย Jyväskylä ประเทศฟีนแลนด์ มีหญิงเข้าร่วมทดลอง 81 คน หญิง 39 คน ไข่ตกตามธรรมชาติหญิงอีก 42 คน กินยาคุมกำเนิดไม่มีไข่ตก ทั้งหมดให้สวมเสื้อเชิ้ตสองวันแล้วให้ฝ่ายชายจำนวน 31 คน และหญิง 12 คน ดมเสื้อเชิ้ตผลพบว่าในเพศชาย กลิ่นที่สร้างความสนใจทางเพศมากที่สุด เป็นกลิ่นเหงื่อของหญิงที่อยู่ในช่วงไข่ตก กลิ่นเหงื่อของหญิงที่กินยาคุมกำเนิดไม่สร้างความสนใจเลย ส่วนเพศหญิงมีความสนใจทางเพศเพิ่ม ผลคล้ายชาย แต่ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ
เชื่อว่าเมื่อหญิงไข่ตก จะมีฟีโรโมนออกมากระตุ้นความรู้สึกทางเพศของฝ่ายชายให้มีเพศสัมพันธ์เพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ตามธรรมชาติ ส่วนชายก็มีฟีโรโมนออกมาตามร่างกาย โดยเฉพาะรักแร้ และตามผิวหนังการทำงานของฟีโรโมน นอกจากเรื่องเซ็กซ์แล้วเชื่อว่าเป็นเรื่องความผูกพันระหว่างพ่อแม่ลูกแม่สามารถดมกลิ่นจากเสื้อผ้า ว่าชุดไหนเป็นของลูกตนเอง ลูกที่กินนมแม่ ได้กลิ่นฟีโรโมนจากรักแร้แม่ สามารถแยกออกว่าเต้าไหนเป็นของแม่ตน
ฟีโรโมนเป็นสารจากธรรมชาติไม่มีกลิ่น ส่วนใหญ่อยู่ที่จุดซ่อนเร้น หากอยากให้ทำงานได้ผล ต้องดูแลสุขอนามัย ไม่ให้มีกลิ่นของแบคทีเรีย ไม่กลบกลิ่นด้วยน้ำหอมกลิ่นต่างๆ หรือการหมกหมม ซึ่งจะทำให้เกิดผลตรงกันข้ามได้แก่ ลดความต้องการทางเพศ อีกทั้งมีความเชื่อว่า สิ่งที่ได้ผลกระตุ้นความรู้สึกทางเพศได้มากกว่า คือรูปร่างหน้าตา รอยยิ้ม ดวงตา น้ำเสียง บุคลิกภาพ ความสะอาดของร่างกาย การแต่งกาย วิธีสื่อสาร ความเอาใจใส่ เพราะจะเห็นสิ่งเหล่านี้ก่อนที่จะได้กลิ่นฟีโรโมน
References
1.Porter RH, Cernoch JM, McLaughlinFJ. Maternal recognition of neonates through olfactory cues. Physiology & Behavior.1983 Jan 31;30(1):151-4
2.Cernoch JM, Porter RH. Recognitionof maternal axillary odors by infants. Child development. 1985 Dec 1:1593-8.
3.Kuukasjärvi S, Eriksson CJ,Koskela E, Mappes T, Nissinen K, Rantala MJ.Attractiveness of women’s body odors overthe menstrual cycle: the role of oralcontraceptives and receiver sex. BehavioralEcology. 2004 Jul 1;15(4):579-84.
4.Schank JC. Do human menstrual-cycle pheromones exist?. Human Nature.2006 Dec 1;17(4):449–70.
5.Poran NS. Cycle attractivity of human female odors. Adv. Biosci. 1994;93:555–560.
6.Navarrete-Palacios E, Hudson R, Reyes-Guerrero G, Guevara-Guzmán R. Lower olfactory threshold during the ovulatory phase of the menstrual cycle.Biological psychology. 2003 Jul 31;63(3):269-79.
7.Verhaeghe J, Gheysen R, EnzlinP. Pheromones and their effect on women’s mood and sexuality.Facts Views Vis Obgyn2013; 5(3): 189-195.
พญ.ชัญวลี ศรีสุโข
(chanwalee@srisukho.com)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี