ประเทศไทยเราเห็นความสำคัญของ PHC – Primary Health Care หรือสาธารณสุขปฐมภูมิ ที่สหประชาชาติ องค์การอนามัยโลก กาชาดสากล ต่างก็เห็นว่าเป็นหัวใจของการนำไปสู่ระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ Universal Health Coverage, UHC ที่เป็นเป้าหมายที่ 3.8 ของการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่ทุกประเทศจะต้องบรรลุภายใน คศ. 2030 หรือ พ.ศ. 2573
ประเทศเราก้าวหน้าไปได้ดีมากทางด้านสาธารณสุข ตัวอย่างเช่น ในกรณีของโรคโควิด-19 ระบาด ประเทศไทยเรามีผลงานที่ดีมาก ดีกว่าประเทศอังกฤษที่เป็นต้นแบบหนึ่งของระบบสาธารณสุขปฐมภูมิ ที่เริ่มมี National Health Service (NHS) ตั้งแต่ ค.ศ.1948 ดีกว่าประเทศสหรัฐอเมริกาที่ใช้งบประมาณทางด้านสาธารณสุขมากมาย แต่ก็ยังมีประชาชนเข้าไม่ถึงระบบสุขภาพอีกหลายล้านคน ทั้ง 2 ประเทศมีผลงานที่ไม่ดีเกี่ยวกับการจัดการกับโรคระบาดโควิด-19 ทั้งๆ ที่ทั้ง 2 ประเทศมีแพทย์ที่เก่งมากๆ ที่ทุกประเทศส่งแพทย์ไปเรียนต่อกันมากมาย มีสถาบัน CDC ที่เลื่องลือไปทั่วโลกทั้งนี้ในความเห็นของผม ขึ้นอยู่กับผู้นำประเทศ และประชาชนที่จะให้ความร่วมมือหรือไม่ เราทำได้ดีมาจนบัดนี้ โชคเราดีด้วยแต่เราต้องไม่ประมาท เราต้องหาวัคซีนมามากๆ เร็วๆ และต้องรีบฉีดวัคซีนให้ประชาชนให้มากที่สุด และอย่างเร็วที่สุดถ้าฉีดช้าไป เชื้อโควิดก็จะมีคนให้เข้าไปอาศัยอยู่ได้ และอาจจะกลายพันธ์ุได้ เราจึงต้องรีบหาวัคซีน และฉีดให้มากและเร็วที่สุด แต่ฉีดแล้วยังต้องสวมหน้ากาก ทิ้งระยะห่าง ล้างมือ ฯลฯ ต่อไปก่อนแต่เป็นที่น่าเสียดายที่ช่วงนี้ (7/4/64) คนไทยบางคน บางกลุ่ม ประมาท ยังไปเที่ยวที่ๆ มีคนมาก ที่ไม่ได้ใส่หน้ากาก ไม่รักษาระยะห่าง ฯลฯ จนมีการแพร่เชื้ออย่างน่าเป็นห่วงอีกครั้งหนึ่งถือว่าเป็นการไม่คิดถึงคนอื่นว่าอาจจะเดือดร้อนเพราะเราหรือคำภาษาอังกฤษที่เรียกว่าไม่ considerate เป็นคำที่ผมสอนลูกศิษย์แพทย์เสมอ
เกี่ยวกับ PHC ประเทศไทยมี พ.ร.บ.สาธารณสุขปฐมภูมิแล้วตั้งแต่ ปี 2562 จากนี้เราตั้งเป้าไว้ว่าเราจะมี รพ.สต.(โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล) หรือหน่วยบริการปฐมภูมิ 6,500 แห่ง แต่ละหน่วยจะดูแลประชาชน 10,000 คน โดย 6,500 หน่วย จะสามารถดูแลประชาชนครบทั้งประเทศ 65 ล้านคน
ทั้งนี้แต่ละ รพ.สต.จะมีแพทย์ 1 คน พยาบาล 2 คน นักสาธารณสุข 2 คนเป็นอย่างน้อยในขั้นต้น แล้วจะค่อยๆ เพิ่มจำนวนบุคลากรสายต่างๆ เช่น ทันตแพทย์ พยาบาล เภสัชนักกายภาพ แพทย์แผนไทยตามความจำเป็นและเหมาะสม ฯลฯ
แต่ในปัจจุบันนี้ แม้แต่ปริมาณบุคลากรขั้นต่ำยังมีเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอทุก รพ.สต. อย่าว่าแต่แพทย์เลย พยาบาล นักสาธารณสุขยังมีไม่พอ เรื่องนี้ผมคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ ที่ทุกหน่วยงานจะต้องช่วยกันคิด วางแผน ทำ ตั้งแต่รัฐบาล กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุดมศึกษาฯ กระทรวงศึกษา กพ. สำนักงบประมาณ ราชวิทยาลัยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว แพทยสภา ฯลฯ มี พ.ร.บ.แล้ว ต้องทำตามกติกาที่วางไว้
เพราะพูดเฉพาะแพทย์ (แต่ต้องไม่ลืมทุกสาขาวิชาชีพ) อย่างเดียวก็เป็นปัญหาโลกแตกแล้ว เช่น จะผลิตแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวอย่างไรให้มีอย่างน้อย 6,500 คน ภายใน 9 ปีข้างหน้า อันนี้หมายถึงว่าถ้ามีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว 1 คนต่อ 1 รพ.สต. ถ้ามี 2 คนต่อ 1 รพ.สต.จำนวนแพทย์ยิ่งจะสูงขึ้นไปอีก คือ 13,000 คน!? จะผลิตอย่างไร จะมีตำแหน่งให้ไหม จะสามารถดึงแพทย์มาอยู่ที่ รพ.สต.ได้ไหม จะรักษาแพทย์เหล่านี้ไว้ในระบบได้อย่างไร ต้องดูแลการศึกษาต่อเนื่อง ความก้าวหน้า การลาพักร้อน สวัสดิการ รายได้ เพราะถ้าเงินเดือนไม่พอ แพทย์เหล่านี้จะหารายได้เพิ่มอย่างไร ที่ตำบลจะเปิดร้านคลินิกได้ไหม จะมีคนไข้พิเศษมาหาไหม จะมีคนไข้ที่มีฐานะที่จะมาหาที่ร้านไหม เรื่องต่างๆ เหล่านี้รัฐบาลต้องช่วยคิด รัฐบาลต้องช่วยดูแลแพทย์เหล่านี้ (และเจ้าหน้าที่ทุกสาขาวิชาชีพ) ให้ครบวงจร โรงเรียนลูก ที่พัก การเดินทาง ความปลอดภัย ฯลฯ
อย่างที่ผมเคยเกริ่นไว้ รพ.สต.ของเราก็เหมือน GP (general practitioner) clinic ของอังกฤษ GP clinic ของอังกฤษมีกระจายทั่วไป แต่ละแห่งอาจจะมีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว 2-3 คน มีทันตแพทย์ พยาบาล กายภาพ ฯลฯ แต่ที่อังกฤษหมอ GP เขาอยู่ได้ เพราะทุกๆ แห่งมีความเจริญเหมือนกันหมด โรงเรียนลูก เงินเดือนถึง GP ที่อังกฤษเท่าที่ผมถามมา ได้เงินเดือนไม่น้อยกว่า consultant ในโรงพยาบาล
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี