“คงเป็นเรื่องยากในการวิเคราะห์อิทธิพลของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อันมีผลต่อฝนตกอย่างหนักในระดับท้องถิ่นของแต่ละพื้นที่ แต่ก็สามารถแสดงให้ทราบได้ว่า สำหรับทางยุโรปตะวันตกแล้ว การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทำให้เหตุการณ์เช่นนี้ มีโอกาสเกิดเพิ่มมากขึ้น”
การให้ความเห็นของ“ดร.ชอเก ฟิลิป” นักวิจัยด้านสภาพภูมิอากาศแห่งสถาบันอุตุนิยมวิทยาแห่งเนเธอร์แลนด์ (Royal Dutch Meteorological Institute) ในช่วงสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ของหลายประเทศในแถบยุโรปตะวันตก เมื่อเดือนกรกฎาคม (2021) ที่ผ่านมากำลังบอกกับเราว่า เมื่ออุณหภูมิของโลกสูงขึ้น เป็นโอกาสที่จะทำให้ฝนตกหนัก และนำไปสู่การเกิดน้ำท่วมใหญ่
นอกจากนั้น กลุ่มนักวิจัยด้านสภาพภูมิอากาศในทวีปยุโรปอีกหลายท่าน ยังให้ความเห็นสรุปเกี่ยวกับสาเหตุของปริมาณฝนมากเกินปกติ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาไปในทิศทางเดียวกันว่า มาจาก 2 ประเด็นคือ หนึ่ง การที่อุณหภูมิสูงขึ้นทุกๆ1 องศาเซลเซียส ทำให้เกิดความชื้นในอากาศเพิ่มขึ้น 7% ซึ่งสามารถกักเก็บน้ำได้ยาวนานขึ้น ทำให้เกิดภาวะฝนแล้ง ดังนั้น เมื่อน้ำที่ถูกกักเก็บ ได้รับการปล่อยลงมา จึงเป็นคำตอบว่า ทำไมฝนจึงตกหนัก และสอง เป็นสถานการณ์ของพายุที่ปกคลุมในพื้นที่หนึ่งๆ ยาวนานกว่าปกติและนั่นทำให้ปริมาณน้ำฝนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แน่นอนว่า หลายรัฐบาลของโลกทราบในประเด็นดังกล่าวนี้ดีและสร้างความร่วมมือเรื่องการป้องกันการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศอย่างเข้มข้น เพื่อบรรเทาวิกฤตจากธรรมชาติอันเป็นผลที่ตามมา แต่ด้วยความเสียหายที่สะสมมาอย่างต่อเนื่องของการทำลายชั้นบรรยากาศของโลก รวมไปถึงการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจบางชนิดที่จำเป็นต้องมีการกระทบกระทั่งกับธรรมชาติบ้าง จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า โลกยังต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์จากน้ำอยู่เป็นระยะ และอาจทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นตามสภาพความเสียหายของชั้นบรรยากาศในแต่ละพื้นที่ และการบริหารจัดการน้ำของรัฐบาลในประเทศนั้นๆ
บทความสำหรับอาทิตย์นี้ จึงชวนกันไปทำความรู้จักกับระบบการบริหารจัดการน้ำในประเทศ “เนเธอร์แลนด์” ที่ได้รับการยอมรับกันว่า สามารถบรรเทาภัยที่มาจากน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ กับโครงการที่มีชื่อว่า เดลต้าเวิร์ก (The Delta Works) ซึ่งสามารถแก้สาเหตุของน้ำท่วมในประเทศได้อย่างเห็นผลตั้งแต่เรื่องสภาพภูมิประเทศที่เป็นพื้นที่ต่ำมีความเสี่ยงสูงมากต่อการจมน้ำทะเลซึ่งล้อมประเทศเอาไว้ และเรื่องพายุหนุนมาจากทะเลเหนือ
ในอดีตเนเธอร์แลนด์ประสบกับปัญหาน้ำท่วม จากทั้งน้ำทะเลหนุน (Strom Surge) และน้ำจากแม่น้ำทะลักอยู่เป็นประจำ สร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงให้แก่พื้นที่เพาะปลูกของเกษตรกร เพราะนอกจากผลผลิตเสียหายแล้ว ผลกระทบจากน้ำทะเลก็ได้ทำให้ดินสำหรับทำการเพาะปลูกเค็มไม่สามารถนำมาทำการเพาะปลูกได้อีกต่อไป ส่วนชาวบ้านในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม บางส่วนก็ย้ายหนีไปอยู่ในที่ปลอดภัย และบางส่วนก็ปรับตัวสร้างบ้านยกสูงเพื่อรองรับภัยจากน้ำหลากที่จะเกิดขึ้นอยู่เสมอ แต่กระนั้น สถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ในปี 1953 ก็สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวง กินพื้นที่ใน 4 ประเทศ คือ อังกฤษ สกอตแลนด์ เบลเยียม และเนเธอร์แลนด์ มีผู้เสียชีวิตกว่า 2,500 คนเกือบ 2,000 คนเป็นชาวดัทช์ และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการบริหารจัดการน้ำครั้งใหญ่ของเนเธอร์แลนด์
โครงการเดลต้าเวิร์ก ใช้งบประมาณกว่า 6 พันล้านยูโร หรือ 2.4 แสนล้านบาท ใช้เวลาในการทำให้เสร็จสมบูรณ์ตามแผนที่วางเอาไว้กว่า 43 ปี (1954-1997) ปัจจุบันกลายเป็นโครงการบริหารจัดการน้ำที่หน่วยงานเกี่ยวกับน้ำทั่วโลกต้องเดินทางมาศึกษาอยู่เป็นประจำ
ความพิเศษในแต่ละองค์ประกอบของเดลต้าเวิร์คนั้น คือ นอกจากเป็นการสร้างเครื่องมือขึ้นมาเพื่อการปรับสภาพการไหลของน้ำเพื่อเอื้ออำนวยต่อสถานการณ์น้ำในแต่ละช่วงเวลาแล้ว ยังสามารถสร้างเส้นทางเดินทะเลที่น่าสนใจสำหรับการท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่างๆ รวมไปถึงการรักษาพื้นที่ของน้ำเพื่อการดำรงชีวิตของชาวประมง และการเพาะปลูกของเกษตรกรอย่างลงตัว
สำหรับระบบบริหารจัดการน้ำของเดลต้าเวิร์กจะมีโครงสร้างหลักๆ อยู่14 แห่ง ซึ่งจะใช้ลักษณะภูมิศาสตร์มากำหนดโครงสร้างแต่ละแห่งนั้น ว่ามาควรออกมาในรูปแบบใด อาทิ การเลือกใช้ประตูกั้นน้ำแบบเปิดตรงปากแม่น้ำ Schelde เพื่อเปิดทางให้ชาวประมงได้ทำมาหากิน เพราะการผสมของน้ำทะเลและน้ำจืดจะมีผลทางอาชีพมากกว่าการกั้นแบบเขื่อนปิดทางน้ำทะเลให้เหลือเพียงน้ำจืดเท่านั้น ส่วนถ้ากรณีมีพายุเข้ามา ก็จะปิดประตูลงเท่านั้น หรือบางพื้นที่ซึ่งมีประชาชนอาศัย และทำการเกษตร ก็อาจใช้โครงสร้างของเขื่อนเพื่อกั้นน้ำทะเลออกจากพื้นที่เพาะปลูก และขยายขอบเขตความปลอดภัยของชุมชนให้ห่างจากทางไหลของน้ำทะเล (ขยับคันกั้นน้ำเก่าออกไปอีก) เป็นต้น
ที่สำคัญ โครงการเดลต้าเวิร์กทั้งระบบนี้ มีการเชื่อมต่อกันด้านข้อมูลของสภาพพื้นที่ การไหลของน้ำและการพยากรณ์อากาศ ด้วยเทคโนโลยีการบริหารจัดการน้ำขั้นสูงที่ได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทิศทางของน้ำในประเทศเนเธอร์แลนด์จะได้รับการ “จับตา”ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร และสามารถ “ปรับเปลี่ยน” ทิศทางการไหลและความเร็วของมวลน้ำเหล่านี้ได้ตลอดเวลา
นอกจากนั้น เนเธอร์แลนด์ยังพัฒนาการบริหารจัดการน้ำให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน ที่มีความเสี่ยงจากสภาวะโลกร้อนอันอาจก่อให้เกิดภัยจากน้ำที่ร้ายแรงเกินกว่าปกติ ด้วยการเพิ่มพื้นที่ให้แก่แม่น้ำ (Room for the River) ทั้งการขยายคั้นกั้นแม่น้ำ และลดระดับลง ขุดพื้นผิวของแม่น้ำให้ลึกขึ้น ถอนสิ่งก่อสร้างออกจากทางน้ำ และสิ่งก่อสร้างที่อาจทำให้เกิดคลื่น รวมไปถึงการทำพื้นที่กักเก็บน้ำ(แก้มลิงแบบบ้านเรา) และช่องทางระบายน้ำพิเศษ (High water channel) ซึ่งทั้งหมดนี้ ได้รับความร่วมมือจากประชาชนเป็นอย่างดี และเสร็จสมบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยไปแล้วในปี 2015 ที่ผ่านมา
แน่นอนว่า เม็ดเงินที่ใช้ไปกับโครงการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบที่ว่ามานี้ อาจจะมีมูลค่ามหาศาล แต่สิ่งที่ได้กลับมานอกเหนือไปจากความปลอดภัยแล้ว การเติบโตทางภาคการเกษตรอย่างต่อเนื่องของเนเธอร์แลนด์และเม็ดเงินจากการท่องเที่ยว ก็การันตีได้เป็นอย่างดีว่า ความใส่ใจต่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน คือ จุดเริ่มต้นที่สำคัญของการพัฒนาประเทศอย่างแท้จริง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี