เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า วิกฤตปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาเป็นสถานการณ์ที่ถูกสมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา และฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้คิดอ่านเตรียมการวางแผนเอาไว้อย่างเป็นขั้นเป็นตอนเพื่อยกระดับความขัดแย้งจากระดับทวิภาคีไปสู่เวทีระหว่างประเทศ
ผู้นำกัมพูชาเปิดเกมเร็วทั้งระดับบนและระดับล่าง ใช้เวลาเพียงไม่กี่วันก็ปิดเกมโดยสภากัมพูชาลงมติ 182 เสียง ยื่นฟ้องศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) โดยอ้างในประเด็นพื้นที่พิพาท 4 จุดคือ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และช่องบก ซึ่งศาลโลกก็คงไม่รับคำร้องของกัมพูชาแต่เพียงฝ่ายเดียวได้ เนื่องจากไทยไม่ยอมรับอำนาจศาลโลกมานานแล้ว
ฮุนเซน ในฐานะผู้นำตัวจริงของกัมพูชา แสดงจุดยืนชัดเจนผ่านวาทกรรมร้อนแรงว่า หากไทยไม่ให้ศาลโลกตัดสินปัญหาพรมแดนไทย-กัมพูชา อาจนำไปสู่สถานการณ์เลวร้ายไม่ต่างจากฉนวนกาซาที่มีแต่การสู้รบไม่มีวันจบสิ้น โดยอ้างถึง MOU 43 ด้วยว่าใช้ไม่ได้แล้วเพราะผ่านมาแล้ว 25 ปีโดยไม่มีความคืบหน้าใดๆ
บทบาทของผู้นำกัมพูชา และเกมบนกระดานระหว่างประเทศ ถูกนำมาเปรียบเทียบกับรัฐบาลไทย ภายใต้การนำของ แพทองธาร ชินวัตร ว่า มือคนละชั้น เพราะขณะที่อีกฝ่ายระดมทั้งกลยุทธ์ กลวิธี และทำสงครามจิตวิทยา หยามเกียรติภูมิของไทยครั้งแล้วครั้งเล่าผ่านคำกล่าวหาว่าเป็นผู้รุกราน แต่ผู้นำฝ่ายไทยกลับเงียบกริบ และกลายเป็นผู้อ่อนแอทันทีในสายตาคนไทย
แม้รัฐบาลไทยได้ออกแถลงการณ์กรณีสถานการณ์ชายแดน ไทย-กัมพูชา ยืนยันปกป้องอธิปไตยเต็มที่โดยยึดหลักการแก้ปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี ผ่านกลไกระดับทวิภาคีบนพื้นฐานของการเป็นเพื่อนบ้านที่ดี โดยไทยเป็นฝ่ายขอนัดเจรจาวันที่ 14 มิถุนายนนี้ที่กัมพูชา แต่ล่าสุดก็ต้องหน้าหงายเมื่อกัมพูชาแถลงการณ์ไม่ร่วมประชุม JBC กับไทย ยืนยันส่ง 4 พื้นที่
เข้าสู่ศาลโลก
นอกจากนี้ แถลงการณ์ดังกล่าว ยังไม่ได้ช่วยทำให้ประชาชนเกิดความเชื่อถือ และเชื่อมั่นต่อรัฐบาล หรือผู้นำรัฐบาลไทยดีขึ้นแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์หนักยิ่งขึ้นไปอีก ทั้งเรื่องของความล่าช้าไม่ทันการณ์เมื่อเทียบกับประเด็นการถูกรุกล้ำอธิปไตย โดยไม่แสดงท่าทีคัดค้านที่ชัดเจนกรณีทหารกัมพูชาเป็นฝ่ายขุดคูเลตรุกล้ำดินแดนเข้ามา
ประเด็นเรื่องความอ่อนแอและอ่อนหัดของผู้นำรัฐบาล กำลังสร้างแรงกระเพื่อมในความรู้สึกของคนไทยอย่างรวดเร็วและรุนแรงมากขึ้นเป็นตามลำดับ และอาจเลยไปถึงสายตาในเวทีโลก เนื่องจากในสถานการณ์ที่ประเทศเผชิญภาวะวิกฤต โดยเฉพาะเป็นเรื่องของเกียรติภูมิของชาติด้วยแล้ว สิ่งที่ประชาชนต้องการมากที่สุดคือความเด็ดขาด เด็ดเดี่ยว จุดยืนที่ชัดเจนจากผู้นำ
แต่ทั้งหมดที่กล่าวมา หาได้เกิดขึ้นจากรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ในทางกลับกัน สิ่งที่มองเห็นนับตั้งแต่เกิดเหตุปะทะที่ช่องบกเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ก็คือรัฐบาลเพิ่งออกแถลงการณ์โลกสวยที่อ่านแล้วยังถูกตีความว่าเอื้อกัมพูชาเกินไป ไม่เด็ดขาดต่อการปกป้องอธิปไตย สะท้อนถึงความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการสื่อสารและเรียกคืนศรัทธาจากประชาชน
การยึดแนวทางสันตินั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามหลักสากล แต่เรื่องอธิปไตยเป็นเรื่องละเอียดอ่อน คนเป็นผู้นำต้องแสดงจุดยืนให้ชัดเจนเข้มแข็ง การที่นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ออกมาเรียกร้องให้คนไทยสามัคคีไม่แบ่งแยกฝ่ายนั้น ต้องถามกลับไปยังนายกรัฐมนตรีเช่นกันว่า แล้วพฤติกรรมที่ผ่านมาของรัฐบาลนั้น ได้สร้างความไว้วางใจให้กับคนไทยหนุนหลังขนาดไหน
ไม่ว่ารัฐบาลไทยกำลังคิดกลยุทธ์อะไรอยู่ก็ตาม แต่สถานการณ์ในเวลานี้ คนไทยยังไม่ได้รับรู้ข้อเท็จจริงในพื้นที่พิพาทจากฝ่ายรัฐบาลอย่างที่ควรจะเป็น แต่กลายเป็นว่าได้ข้อมูลจากคนไทยด้วยกันเอง หรือจากนักวิชาการต่างๆ เป็นด้านหลัก จนเริ่มรู้สึกถึงความไม่มั่นใจเรื่องข้อมูลจากฝ่ายรัฐบาลไทยเองว่า กำลังคิดและทำอะไรอยู่ หรือทำอะไรไม่เป็น
เรื่องอธิปไตยเป็นสิ่งละเอียดอ่อนทั้งอารมณ์และความรู้สึก หากประชาชนขาดความเชื่อมั่นในศักยภาพของรัฐบาล หรือตัวผู้นำในการปกป้องอธิปไตย และคุ้มครองบูรณภาพแห่งดินแดนไทยแล้ว ก็ยากที่จะเรียกร้องให้ประชาชนออกมาหนุนหลังได้ ถ้าเมื่อไหร่ที่ประชาชนรู้สึกว่ามีเพียงทหารเท่านั้นที่เป็นหลักพึ่งพาได้ เมื่อนั้นก็จะมีคำถามในคำถามว่า เรามีรัฐบาล หรือมีนายกรัฐมนตรีเอาไว้ทำไม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี