กระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี มีมาก่อนหน้านี้เป็นระยะ แต่เริ่มมีความชัดเจน จริงจังมากขึ้น หลังจากที่นายทักษิณ ชินวัตร เอ่ยปากพูดเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30
พฤษภาคม 2568
โดยระบุว่า “การนำนโยบายไปถึงประชาชน กระทรวงหลักคือ กระทรวงมหาดไทย วันนี้มันไม่ค่อยถึง เพราะว่ากระทรวงมหาดไทยยังไม่ค่อยทำเต็มที่ เวลามันเหลือ 2 ปีแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่มหาดไทยต้องทำงานให้เต็มที่”
และยังเน้นย้ำถึงความจำเป็น ในการที่จะต้องให้พรรคเพื่อไทย เอากระทรวงมหาดไทยมาดูแล ว่า
“มันเป็นเรื่องการทำงานเพื่อประชาชนถ้าอยากทำงานให้ได้ผล พรรคเพื่อไทยต้องตัดสินใจเพื่อให้นโยบายถึงประชาชนจริงๆ ก็ต้องให้กระทรวงมหาดไทยอยู่ในความดูแลของพรรค
เพื่อไทย นี่คือหลักการ”
และก็เป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาดไว้ว่า การพูดของทักษิณ ชินวัตร ครั้งนี้ก็คือการส่งสัญญาณ ให้เกมการปรับคณะรัฐมนตรี เข้าสู่โหมดจริงจังมากขึ้น
เพราะหลังจากนั้น แกนนำพรรคเพื่อไทย หลายคนต่างก็ขยับรับลูกตาม เช่น นายสรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรค ก็ออกมาให้สัมภาษณ์ ว่าสมาชิกพรรคเพื่อไทยอยากได้กระทรวงหลักๆ เช่น กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงเกษตรฯ กลับมาดูแลเอง เพื่อที่จะผลักดันนโยบายของพรรคให้สามารถนำไปปฏิบัติ
และแน่นอนว่า พอมีการขยับจริงจังเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรี ในแง่ของการเมือง ก็ย่อมมีแรงกระเพื่อม เพราะการไปดึงกระทรวงมหาดไทย จากพรรคภูมิใจไทย ก็ยิ่งเพิ่มความตึงเครียดระหว่าง พรรคร่วมรัฐบาลที่ไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว ระหว่างพรรคเพื่อไทยกับภูมิใจไทย ซึ่งทุกวันนี้ก็เปิดศึกในรูปแบบสงครามตัวแทนในหลายมิติ ให้เขม็งเกลียวมากขึ้นไปอีก
เรื่องการต่อรองของพรรคการเมือง หรือ ของนักการเมือง เรื่องโควตา เรื่องเก้าอี้ พรรคไหนจะสลับไปคุมกระทรวงไหน นักการเมืองคนไหนจะหลุดจากตำแหน่ง หรือคนไหน จะสลับไปนั่งกระทรวงไหน คนไหนจะได้เข้ามาใหม่ ล้วนอยู่บนพื้นฐานผลประโยชน์ของพรรคการเมือง และนักการเมือง โดยมีคำว่าเพื่อประสิทธิภาพของการทำงานเพื่อประชาชน เป็นข้ออ้างเท่านั้น
เพราะจากข่าวที่ออกมา รายชื่อของคนที่จะไปเป็นรัฐมนตรี ที่สลับกระทรวงกัน ก็ล้วนแล้วแต่วนเวียนอยู่กับกลุ่มนักการเมืองคนเดิม ที่หลายคนก็ยังหาผลงานเป็นชิ้นเป็นอันอะไรไม่ได้
การสลับสับเปลี่ยนรัฐมนตรี แบบเล่นเก้าอี้ดนตรี ยิ่งเปลี่ยนแบบข้ามพรรคด้วยแล้วยิ่งมีผลเสียหนักกว่าแค่เปลี่ยนคน เพราะนโยบายในการทำงานของกระทรวงนั้นก็จะต้องเปลี่ยนไปตามนโยบายของพรรคการเมืองใหม่ที่เข้ามาดูแล ข้าราชการก็ต้องมานั่งปรับทิศทางการทำงานกันใหม่ คนมาเป็นรัฐมนตรีก็ต้องเสียเวลาศึกษางาน เปลี่ยนทีมงาน ที่ปรึกษา วุ่นวายกันไปอีก
คำถามคือแล้วประชาชน ประเทศชาติได้อะไรจากการปรับคณะรัฐมนตรีแบบนี้ ในสถานการณ์ที่ประเทศเรากำลังเผชิญกับปัญหาหนักในหลายด้าน ทั้งเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ ประชาชนทำมาหากินฝืดเคือง เพราะทีมเศรษฐกิจรัฐบาลไร้ฝีมือ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่หาเสียงไว้ ไม่ได้ผล ตลอดจนผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกจากนโยบายของมหาอำนาจ ไหนจะปัญหาความมั่นคงทางชายแดน และปัญหาอื่นๆ อีกสารพัด
แต่ผู้มีอำนาจกลับคิดเพียงการปรับเปลี่ยน เพื่อชิงความได้เปรียบทางการเมือง การที่นายทักษิณ อ้างว่ากระทรวงนั้นพรรคนั้นทำแล้ว ทำไม่ถึงไม่มีผลงาน จึงต้องเอามาดูแลเอง นั้นฟังไม่ขึ้น เพราะถ้าอาศัยตรรกะนี้ ตำแหน่งที่ต้องเปลี่ยนออกมากที่สุดก็คือ ตัวนายกรัฐมนตรี ที่ชื่อน.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวนายทักษิณ นั่นแหละ เพราะถึงวันนี้พิสูจน์แล้วเธอไม่เหมาะสมกับการเป็นผู้นำของประเทศแม้แต่น้อยเลย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี