สแตนลีย์ ฟิชเชอร์ (Stanley Fischer) สำหรับชื่อนี้แล้ว ข้าราชการกระทรวงการคลัง พนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย และผู้มีหน้าที่ในการกำหนดนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจปี ๒๕๔๐ คงคุ้นเคยชื่อนี้เป็นอย่างดี
ศาสตราจารย์สแตนลีย์ ฟิชเชอร์ ถึงแก่อนิจกรรม เมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๘ ในวัย ๘๑ ปี
วงวิชาการเศรษฐศาสตร์ได้สูญเสียนักเศรษฐศาสตร์ผู้มีความสามารถอย่างสูงในการประยุกต์ทฤษฎีและหลักวิชามาใช้ในกระบวนการกำหนดและบริหารนโยบายเศรษฐกิจแบบชนิดที่นำไปปฏิบัติได้ในโลกความเป็นจริง
ภายหลังดำรงตำแหน่งคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ที่เอ็มไอที (MIT) ศาสตราจารย์ฟิชเชอร์ก็ลงจากหอคอยงาช้างในปี ๒๕๓๗ เพื่อไปรับตำแหน่งรองผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) หลังจากนั้นก็ไปทำงานภาคเอกชนเป็นรองประธานธนาคาร Citigroup (๒๕๔๔-๒๕๔๘) ต่อจากนั้นก็ไปเป็น ผู้ว่าการธนาคารกลางอิสราเอล (๒๕๔๘-๒๕๕๖) และไปเป็นรองประธานธนาคารกลางสหรัฐ ในปี ๒๕๕๗ ก่อนที่จะขอลาออกในปี ๒๕๖๐ เพื่อไปดูแลภรรยาของท่านที่เริ่มป่วยด้วยโรคสมองเสื่อม
นักข่าวสายเศรษฐกิจให้ฉายาฟิชเชอร์ว่า the No. 2 เพราะท่านมักจะได้ตำแหน่งเบอร์สองขององค์กรที่เข้าไปทำงานด้วย ยกเว้นธนาคารกลางอิสราเอล ศาสตราจารย์ฟิชเชอร์เกือบได้เป็นเบอร์หนึ่งของ IMF ในปี ๒๕๕๔ แต่ติดที่กฎระเบียบของ IMF ที่กำหนดว่าผู้อำนวยการต้องอายุไม่เกิน ๖๕ ปี ตอนนั้นฟิชเชอร์บอกกับนักข่าวว่า
เขาเป็นคนอายุ ๖๗ ที่ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง น่าจะได้รับการยกเว้นจากเงื่อนไขนี้ อันทำให้นางคริสติน ลาการ์ด (Christine Lagarde) ได้ตำแหน่งนี้ไป (๒๕๕๔-๒๕๖๒) ปัจจุบัน นางลาการ์ดเป็นประธานธนาคารกลางยุโรป (๒๕๖๒–ปัจจุบัน)
ในฐานะศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ที่ MIT ลูกศิษย์จำนวนมากของฟิชเชอร์เติบใหญ่เป็นนักวิชาการชั้นแนวหน้า ผู้ว่าการธนาคารกลาง รัฐมนตรีคลัง และนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะนักศึกษาที่เคยทำวิทยานิพนธ์กับฟิชเชอร์ล้วนแต่กลายเป็นผู้กำหนดและดูแลนโยบายเศรษฐกิจในหลายประเทศทั่วโลก เช่น
Ben Bernanke : ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (๒๕๔๙-๒๕๕๗)
Mario Draghi : ผู้ว่าการธนาคารกลางอิตาลี (๒๕๔๙-๒๕๕๔) ประธานธนาคารกลางยุโรป (๒๕๕๔-๒๕๖๒) และนายกรัฐมนตรีอิตาลี (๒๕๖๔-๒๕๖๕)
Iian Goldfajn : ผู้ว่าการธนาคารกลางบราซิล (๒๕๖๖-ปัจจุบัน)
Kazuo Ueda : ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (๒๕๖๖-ปัจจุบัน)
Guy Debelle : รองผู้ว่าการธนาคารกลางออสเตรเลีย (๒๕๕๙-๒๕๖๕)
นักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำ อย่างเช่น Gregory Mankiw, Kenneth Rogoff, Lawrence Summers,Frederic Mishkin และอีกหลายๆ คน ก็เป็นลูกศิษย์ของฟิชเชอร์ทั้งนั้น
สำหรับคนไทย แคนดิเดตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่อย่างน้อยสามคน ที่ตอนนี้กำลังอยู่ในกระบวนการสรรหา ก็เคยเป็นลูกศิษย์โดยตรงหรือหลานศิษย์ของศาสตราจารย์ฟิชเชอร์ เช่น ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ซึ่งพึ่งโพสต์เฟซบุ๊กแสดงความไว้อาลัยต่อการจากไปของอาจารย์ฟิชเชอร์ เมื่อสามสี่วันก่อน ดร.กอบศักดิ์ยังเขียนเล่าว่า...ตอนเรียนที่ MIT ครั้งหนึ่งได้ไปพบอาจารย์ฟิชเชอร์ที่ห้องซึ่งตอนนั้นกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ พอ ดร.กอบศักดิ์เข้าไปถึง ท่านก็บอกว่า.....ให้รอสักครู่ ตอนนี้กำลังแก้ปัญหาเศรษฐกิจโลกอยู่....
หรืออย่างท่านผู้ว่าคนปัจจุบันและอดีตผู้ว่า ดร.วิรไท สันติประภพ ก็เคยทำงานร่วมกับศาสตราจารย์ฟิชเชอร์เพื่อช่วยกันแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจปี ๒๕๔๐ ตอนนั้น ดร.เศรษฐพุฒิ ทำงานอยู่ที่ธนาคารโลก ส่วน ดร.วิรไท ก็อยู่ที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ เมื่อเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง ทั้งสองท่านก็ถูกดึงตัวกลับไทยเพื่อมาช่วยแก้ปัญหาโดยปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้อำนวยการร่วมสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจ กระทรวงการคลัง มีบทบาทสำคัญในการผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและมาตรการแก้ไขปัญหาระบบสถาบันการเงินในเวลานั้น
ช่วงที่ฟิชเชอร์ทำงานในตำแหน่งรองผู้อำนวยการ IMF (๒๕๓๗- ๒๕๔๔) เกิดวิกฤตเศรษฐกิจขึ้นในหลายประเทศทั่วโลกทั้ง เม็กซิโก, รัสเซีย, เกาหลีใต้, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย,ฟิลิปปินส์ และไทย
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญเศรษฐศาสตร์มหภาคและเศรษฐศาสตร์การเงิน ฟิชเชอร์ทราบดีว่าประเทศไทยกำลังบอบช้ำอย่างแสนสาหัสจากการทำสงครามปกป้องค่าเงินบาท ที่เริ่มถูกโจมตีตั้งแต่ตั้นปี ๒๕๓๘ ฟิชเชอร์ทราบดีว่างานวิจัยของ IMF, ธนาคารโลกและสถาบันวิชาการอื่นๆ จำนวนมากพบว่า ไม่มีประเทศไหน ที่กำลังรีบเร่งเดินเข้าสู่เส้นทางการเปิดเสรีทางการเงิน แต่กลับยังใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบตายตัวอยู่ จะสามารถรอดพ้นไปจากวิกฤตเศรษฐกิจการเงินได้ ฟิชเชอร์พยายามเตือนรัฐบาลไทยอยู่หลายครั้งในเรื่องนี้ แต่ก็เป็นที่น่าเสียใจว่า กลับกลายเป็นศิษย์เก่า MIT ในไทยเอง ที่กดดันให้ธนาคารแห่งประเทศไทยยังคงยึดระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบตายตัวไว้ ทั้งๆ ที่เงินบาทมีมูลค่าสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริงของมันไปแล้ว
ภายหลังความพ่ายแพ้ในสงครามปกป้องค่าเงินบาท จนรัฐบาลไทยต้องปล่อยให้เงินบาทมีค่าลอยตัวในวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๔๐ ทุนสำรองระหว่างประเทศเหลือเพียง ๒,๘๐๐ ล้านดอลลาร์
ศาสตราจารย์สแตนลีย์ ฟิชเชอร์ ด้วยหน้าที่ความรับผิดชอบในฐานะรองผู้อำนวยการ IMF ก็เต็มใจพร้อมที่เข้ามาช่วยเหลือประเทศไทย แต่รัฐบาลไทยก็ยังนิ่งเฉย จนฟิชเชอร์ถึงกับกล่าวว่า ประเทศไทยกำลังทำตัวโง่เขลามากที่ปฎิเสธการขอเงินกู้ฉุกเฉินจาก IMF คำพูดดังกล่าวถือว่าผิดธรรมเนียมปฏิบัติสำหรับเจ้าหน้าที่ IMF ที่ปกติแล้วจะต้องสื่อสารหรือส่งสัญญาณในเชิงวิถีทางการทูต อย่างไรก็ตาม การที่ฟิชเชอร์พูดอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ก็เพราะกลัวว่าปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นกับประเทศไทยนั้น จะส่งผลกระทบไปทั่วภูมิภาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ลาตินอเมริกาและยุโรปตะวันออก
นอกจากนั้น ศาสตราจารย์ฟิชเชอร์คงต้องการสื่อสารไปยังศิษย์เก่า MIT ในประเทศไทยทั้งที่อยู่ในแบงก์ชาติและในรัฐบาลว่า หากปล่อยให้วิกฤตเศรษฐกิจยืดเยื้อไปนานเท่าใด ก็จะยิ่งแก้ไขปัญหาได้ยากยิ่งขึ้น ภายหลังที่เพียรพยายามหาแหล่งเงินกู้จากที่อื่นอยู่พักหนึ่งแต่ล้มเหลว ธนาคารแห่งประเทศไทยก็ยื่นข้อเสนอการกู้เงินฉุกเฉินจาก IMF ต่อรัฐมนตรีคลังและนายกรัฐมนตรี ในวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๔๐ ยี่สิบวันหลังการประกาศลอยค่าเงินบาทและหนึ่งวันหลังจากที่โดนศาสตราจารย์สแตนลีย์ ฟิชเชอร์ ตำหนิพฤติกรรมอันโง่เขลาเบาปัญญาของผู้มีหน้าที่ในการกำหนดนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจของไทยในตอนนั้น
ครับ นั้นก็เป็นเรื่องเล่าเล็กๆ น้อยๆ ของสแตนลีย์ ฟิชเชอร์ที่เกี่ยวกับเมืองไทย
ดร.ธิติ สุวรรณทัต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี