ศาลทหารในประเทศไทยมีบทบาทเฉพาะและแตกต่างจากศาลยุติธรรมทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญ โดยศาลทหารถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อพิจารณาคดีที่เกี่ยวข้องกับบุคลากรของกองทัพและความมั่นคงของชาติ ภายใต้บริบทของกฎหมายทหาร อย่างไรก็ตาม บทบาทของศาลทหารในสังคมไทยมีพัฒนาการขึ้นลงตามสถานการณ์ทางการเมือง โดยเฉพาะในช่วงที่ประเทศไทยอยู่
ภายใต้การปกครองของรัฐบาลทหาร ซึ่งศาลทหารได้ขยายบทบาทเข้าสู่การพิจารณาคดีของพลเรือน ส่งผลให้เกิดคำถามทางนิติศาสตร์และสิทธิมนุษยชนตามมาอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะคดีที่เกี่ยวกับบุคลากรของกองทัพเอง
เช่น กรณีล่าสุด ที่ศาลทหารชั้นฎีกาพิพากษาคดี นายภคพงศ์ ตัญกาญจน์ “น้องเมย” อดีตนักเรียนเตรียมทหารชั้นปี ๑ ที่เสียชีวิตอย่างปริศนา หลังจากถูกสั่งธำรงวินัยโดยรุ่นพี่ทหาร ภายในโรงเรียนเตรียมทหาร เมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๖๐ โดยให้จำคุกรุ่นพี่ ๔ เดือน ๑๖ วัน ปรับ ๑๕,๐๐๐ บาท รอลงอาญา ๒ ปี ศาลเห็นว่าจำเลยไม่เคยได้รับโทษ การจะลงโทษจำเลยไปก็ไม่เป็นประโยชน์ให้จำเลยปรับปรุงตัวรับราชการรับใช้ชาติต่อไปจะเป็นประโยชน์มากกว่า
ศาลทหารในประเทศไทยจัดตั้งขึ้นภายใต้พระราชบัญญัติว่าด้วยการพิจารณาคดีของศาลทหาร พ.ศ. ๒๔๙๘ และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงกลาโหม ไม่ได้ขึ้นตรงต่อศาลยุติธรรมตามรัฐธรรมนูญ ศาลทหารมีหลายระดับ ได้แก่
• ศาลทหารกรุงเทพ : มีเขตอำนาจครอบคลุมหลายจังหวัด และทำหน้าที่เสมือนศาลทหารชั้นต้น
• ศาลทหารภูมิภาค : มีเขตอำนาจในพื้นที่ทหารที่กำหนดไว้
• ศาลทหารกลางและศาลทหารสูงสุด : ทำหน้าที่พิจารณาอุทธรณ์และฎีกาคดีทหาร
คณะผู้พิพากษาของศาลทหารประกอบด้วยนายทหารที่ได้รับการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่พิจารณาคดี โดยไม่จำเป็นต้องมีวุฒิด้านกฎหมายเท่าศาลยุติธรรม ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นที่ถูกวิจารณ์อย่างต่อเนื่อง
ศาลทหารมีอำนาจในการพิจารณาคดีอาญาที่เกี่ยวข้องกับทหาร ตามประมวลกฎหมายอาญาทหาร และคดีอาญาทั่วไปที่จำเลยเป็นทหารหรือบุคคลที่อยู่ภายใต้กฎอัยการศึก โดยเฉพาะในกรณีที่ประกาศใช้กฎอัยการศึกหรืออยู่ภายใต้คำสั่งของคณะรัฐประหาร ศาลทหารจะมีอำนาจขยายครอบคลุมไปถึงพลเรือนที่กระทำความผิดบางประเภท เช่น คดีความมั่นคง คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือการฝ่าฝืนคำสั่งคณะรัฐประหาร
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี ๒๔๗๕ ศาลทหารเริ่มมีบทบาทชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะในยุคที่ประเทศเผชิญภัยคุกคามจากภายนอก เช่น สงครามโลกครั้งที่สอง และช่วงสงครามเย็น ซึ่งกองทัพมักใช้อำนาจผ่านกลไกศาลทหารเพื่อรักษาความมั่นคงภายใน
ประเทศไทยเผชิญรัฐประหารหลายครั้ง เช่น ในปี ๒๔๙๐, ๒๕๐๑, ๒๕๑๙, ๒๕๓๔, ๒๕๔๙ และ ๒๕๕๗ ซึ่งในแต่ละครั้งรัฐบาลทหารที่ขึ้นมามักใช้อำนาจทางกฎหมายขยายอำนาจศาลทหารเหนือพลเรือน โดยเฉพาะหลังรัฐประหาร ๒๕๕๗ ภายใต้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ออกคำสั่งให้พลเรือนที่กระทำผิดเกี่ยวกับความมั่นคงต้องขึ้นศาลทหาร ทำให้มีการพิจารณาคดีพลเรือนในศาลทหารหลายร้อยคดี
หลังการเลือกตั้งปี ๒๕๖๒ และภายใต้แรงกดดันจากนานาชาติ รวมถึงข้อเรียกร้องจากองค์กรสิทธิมนุษยชน รัฐบาลไทยภายหลัง คสช. ได้ออกคำสั่งยกเลิกการพิจารณาคดีพลเรือนในศาลทหาร แต่คดีที่ได้เริ่มต้นไปแล้วก็ยังคงอยู่ในกระบวนการของศาลทหารต่อไปอีกหลายคดี
ศาลทหารถูกใช้เป็นเครื่องมือในการกดดันและควบคุมฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง โดยเฉพาะในช่วงที่มีการควบคุมเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมเช่น การพิจารณาคดีนักกิจกรรม นักศึกษา และประชาชนที่ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐประหาร ส่งผลให้ศาลทหารถูกมองว่าเป็นกลไกของรัฐมากกว่ากลไกอิสระด้านตุลาการ
ศาลทหารไม่รับรองสิทธิขั้นพื้นฐานของจำเลยเท่าเทียมกับศาลยุติธรรม เช่น สิทธิในการประกันตัว การมีทนายตั้งแต่ต้นกระบวนการ และการเปิดเผยข้อมูลการพิจารณา ส่งผลให้เกิดคำถามต่อความเป็นธรรมของกระบวนการพิจารณาคดี และละเมิดหลักการ“ผู้ต้องหาถือเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่ามีความผิด”
ในช่วงที่ประเทศเผชิญความขัดแย้งทางการเมืองรุนแรง ศาลทหารถูกใช้เป็นเครื่องมือในการควบคุมสถานการณ์ เช่น การดำเนินคดีกลุ่มคนเสื้อแดง นักกิจกรรมกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง หรือผู้ต้องหาในคดี มาตรา ๑๑๒ ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยในเวทีระหว่างประเทศ
เนื่องจากศาลทหารอยู่ภายใต้กระทรวงกลาโหม ไม่ได้ขึ้นกับสำนักงานศาลยุติธรรม จึงขาดหลักประกันด้านความเป็นอิสระในการพิจารณาคดี และอาจตกอยู่ภายใต้อิทธิพลทางการเมืองหรืออำนาจทหารโดยตรง การพิจารณาคดีในศาลทหารมักไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ ไม่มีการบันทึกการพิจารณาอย่างเป็นทางการ และบางครั้งมีการปิดลับ ทำให้กระบวนการขาดความโปร่งใส ไม่สามารถตรวจสอบได้โดยสาธารณชน องค์กรสิทธิมนุษยชนทั้งในและต่างประเทศ เช่น Amnesty International และ Human Rights Watch ได้วิจารณ์ประเทศไทยอย่างหนักในเรื่องการนำพลเรือนไปขึ้นศาลทหาร โดยมองว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน
หลายประเทศมีศาลทหารเช่นกัน แต่จำกัดบทบาทเฉพาะผู้ที่เป็นทหารและในช่วงเวลาสงคราม เช่น
• สหรัฐอเมริกา : มีระบบศาลทหาร (Court Martial) ที่มีกฎระเบียบเฉพาะชัดเจน โดยแยกจากศาลพลเรือนอย่างสิ้นเชิง และไม่พิจารณาคดีพลเรือนแม้ในยามสงคราม
• ฝรั่งเศส : ยกเลิกศาลทหารที่พิจารณาคดีพลเรือนตั้งแต่ปี ๑๙๘๒ เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมเป็นอิสระจากอิทธิพลทางทหาร
ประเทศไทยจึงควรพิจารณาการปฏิรูปบทบาทของศาลทหารให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล และไม่ใช้เป็นเครื่องมือในการจำกัดสิทธิของพลเรือนในสถานการณ์ปกติ รัฐควรกำหนดอย่างชัดเจนว่า ศาลทหารมีเขตอำนาจเฉพาะต่อบุคลากรของกองทัพในกรณีที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ราชการเท่านั้น และต้องไม่ขยายอำนาจเหนือพลเรือนแม้ในยามวิกฤต เว้นแต่ในสถานการณ์สงครามตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด ศาลทหารควรอยู่ภายใต้การตรวจสอบร่วมกับองค์กรอิสระหรือสำนักงานศาลยุติธรรม เพื่อให้มั่นใจว่าการพิจารณาคดีมีความเป็นกลาง โปร่งใส และเป็นธรรม
บทบาทของศาลทหารในประเทศไทยสะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจรัฐกับกระบวนการยุติธรรมในสังคมไทยอย่างลึกซึ้ง แม้ว่าศาลทหารจะมีความจำเป็นในบางบริบท เช่น การรักษาระเบียบในกองทัพหรือการพิจารณาคดีในช่วงสงคราม แต่การนำศาลทหารมาใช้พิจารณาคดีพลเรือนในภาวะปกติ โดยเฉพาะในช่วงรัฐบาลทหาร ถือเป็นการบ่อนทำลายหลักการพื้นฐานของนิติรัฐและสิทธิเสรีภาพประชาชน
การปฏิรูปศาลทหารจึงควรเป็นวาระแห่งชาติที่ไม่เพียงแต่ตอบสนองต่อข้อเรียกร้องจากนานาชาติเท่านั้น หากแต่ต้องตั้งอยู่บนฐานของความยุติธรรม ความโปร่งใส และความเคารพในสิทธิของพลเมืองไทยทุกคน
อย่างไรก็ดี แม้ผู้เขียนจะเห็นด้วยในการปฏิรูปศาลทหาร แต่ในบางคดีศาลทหารก็ได้รับการยกย่องจากผู้คนสังคม เช่น ในการตัดสินยกฟ้องคดีพระพิมลธรรม (อาสภมหาเถร) ที่ถูกกล่าวหาว่า มีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ และกระทำความผิดต่อความมั่นคงของรัฐบาลภายในราชอาณาจักร เมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๐๙ เป็นคำพิพากษาของศาลทหารในกระทรวงกลาโหมที่ใช้หลัก “ธรรม” ตัดสิน
คดี พระพิมลธรรม กับ ศาลทหาร เป็นหนึ่งในกรณีตัวอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่สะท้อนความเชื่อมโยงระหว่าง ศาสนา การเมือง และกระบวนการยุติธรรม ภายใต้ระบอบอำนาจนิยม โดยเฉพาะในช่วงรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งมีการใช้ “ศาลทหาร” เป็นเครื่องมือในการจัดการกับฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองหรือผู้มีความคิดต่างจากรัฐ….(ยังมีต่อ)
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ปรีชา สุวรรณทัต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี