คดี พระพิมลธรรม กับ ศาลทหาร เป็นหนึ่งในกรณีตัวอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่สะท้อนความเชื่อมโยงระหว่าง ศาสนา การเมืองและกระบวนการยุติธรรม ภายใต้ระบอบอำนาจนิยม โดยเฉพาะในช่วงรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งมีการใช้ “ศาลทหาร” เป็นเครื่องมือในการจัดการกับฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองหรือผู้มีความคิดต่างจากรัฐ
พระพิมลธรรม (อาสภมหาเถร) เป็นพระภิกษุผู้มีชื่อเสียงทางด้านวิชาการ พุทธปรัชญา และการศึกษาในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๕ ท่านเป็นนักวิชาการพระพุทธศาสนาที่ได้รับความเคารพในหมู่นักศึกษาและปัญญาชน โดยเฉพาะในแวดวงมหาวิทยาลัยสงฆ์(มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย) และเคยดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ซึ่งเป็นวัดสำคัญแห่งหนึ่งของไทย ในปี ๒๔๙๑
ในช่วงเป็นเจ้าอาวาสท่านได้ดำเนินการที่จะพื้นฟูพระพุทธศาสนาให้เจริญยิ่งๆ ขึ้นไปด้วยการส่งพระภิกษุ นักเรียนพุทธศาสนบัณฑิต ไปศึกษาต่อต่างประเทศ เพื่อต่อปริญญาโท ปริญญาเอก และท่านเป็นพระสงฆ์องค์แรกๆ ที่นำพระพุทธศาสนาไปเผยแพร่ในต่างประเทศ เช่น อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ อินเดีย ลาว กัมพูชา นอกจากนี้ท่านยังเป็นผู้ก่อตั้งสำนักปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานขึ้นที่วัดมหาธาตุฯ เป็นแห่งแรก แล้วขยายแพร่ไปสู่ขั้นจังหวัดและขั้นอำเภอต่างๆ เกือบทั่วประเทศ
หลังการรัฐประหารปี พ.ศ. ๒๕๐๑ โดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ รัฐบาลเผด็จการต้องการปราบปรามกลุ่มคนที่มีแนวคิดคอมมิวนิสต์ หรือน่าสงสัยว่าจะมีอุดมการณ์ไปในทางซ้าย รวมถึงพระที่มีแนวคิดก้าวหน้า
พระพิมลธรรมถูกจับกุมในปี พ.ศ. ๒๕๐๔ โดยถูกกล่าวหาว่า มีแนวคิดสนับสนุนลัทธิคอมมิวนิสต์ ทั้งที่ในความเป็นจริง ท่านเน้นสอนเรื่องพุทธปรัชญาเชิงวิพากษ์ และส่งเสริมการตีความคำสอนของพุทธเจ้าอย่างมีเหตุผล ไม่ได้มีหลักฐานชัดเจนถึงการเกี่ยวข้องกับขบวนการคอมมิวนิสต์ใดๆ แต่อัยการศาลทหารก็ได้ยื่นฟ้องพระพิมลธรรมในข้อหายุยงสั่งสอนชักนำ รวมถึงการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์และเป็นภัยความมั่นคงของรัฐ
พระพิมลธรรมถูกพิจารณาคดีใน ศาลทหารซึ่งมีลักษณะพิเศษคือ:
• ไม่เปิดเผยการพิจารณาคดีต่อสาธารณะ
• ไม่สามารถใช้สิทธิต่อสู้คดีอย่างเต็มที่
• มีอำนาจพิเศษในการตัดสินโดยไม่มีการอุทธรณ์หรือฎีกาในบางช่วง
• เป็นกระบวนการยุติธรรมที่เน้น“ความมั่นคงของรัฐ” มากกว่าหลักนิติธรรม
ในคดีนี้ พระพิมลธรรมถูกจับสึกจากสมณเพศโดยไม่มีการพิจารณาจากมหาเถรสมาคมหรือพระราชอำนาจตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ เป็นการจับกุมและสึกโดยฝ่ายปกครองและทหาร พระพิมลธรรมถูกจำคุกนานถึง ๖ ปี โดยไม่ได้รับความเป็นธรรมตามกระบวนการยุติธรรมปกติ
อย่างไรก็ตาม เมื่อจอมพลสฤษดิ์เสียชีวิตในปี พ.ศ. ๒๕๐๖ และหลังจากสถานการณ์การเมืองเปลี่ยนแปลง ศาลทหารวินิจฉัยยกฟ้องพระพิมลธรรม ในวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๐๙ เพราะไม่พบพยานหลักฐานเพียงพอที่จะชี้ได้ว่าว่าท่านกระทำผิดตามข้อกล่าวหา ศาลยังระบุว่า จำเลยถูกกล่าวหาโดยไม่เป็นธรรม และอาจจะมาจากความอิจฉาริษยาในวงการสงฆ์ ในคำวินิจฉัย ศาลได้แสดงความเสียใจและ “สลดใจ” กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพระพิมลธรรม
คำวินิจฉัยของศาลทหารในคดีนี้ได้รับการยกย่องจากผู้คนสังคมเป็นอย่างมากในเวลานั้นที่ใช้หลัก “ธรรม” ตัดสินคดี ดังข้อความบางตอนข้างล่าง.....
“…. ตามที่ศาลได้ประมวลวินิจฉัยข้อเท็จจริงตามฟ้อง และกล่าวหามาหลายข้อหลายประเด็นนี้มีสาระบ้าง ไม่มีสาระบ้าง ก็ไม่ปรากฏพยานหลักฐานใดๆ เลย พอที่จะชี้ให้เห็นว่าจำเลยได้กระทำหรือน่าจะกระทำผิด การจับกุมคุมขังจำเลยทั้งนี้ย่อมเป็นที่เศร้าหมองและน่าสลดใจในวงการสงฆ์และพุทธศาสนิกชนมาก ท่านประธานศาลฎีกาก็ดี พระเถระผู้ใหญ่ทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลยก็ดี ซึ่งเป็นพยาน ต่างก็กล่าวเป็นทำนองเดียวกันว่าจำเลยนี้เป็นผู้ประกอบแต่กุศลกรรม กระทำกิจพระศาสนาแผ่ไพศาลไปทั้งในและนอกประเทศ ทั้งในทางปริยัติศาสนาและปฏิบัติศาสนา มีผลประจักษ์ชัดเป็นหลักฐานมาก ไม่เชื่อว่าได้กระทำผิด แต่กลับมาต้องถูกออกจากเจ้าอาวาส ถูกออกจากสมณศักดิ์ถูกจับกุม ถูกบังคับให้สละเพศพรหมจรรย์ นับว่า
รุนแรงที่สุด สำหรับพระเถระผู้ใหญ่ที่ปวงชนเคารพนับถือ พระธรรมโกศาจารย์ ถึงกลับ กล่าวว่า คิดได้อย่างเดียวว่า เกิดขึ้นเพราะความอิจฉาริษยากันในวงการสงฆ์ หรือมิฉะนั้นก็เป็นกรรมเก่าของจำเลยเท่านั้นเอง
พันโทประเสริฐ สุดบรรทัด ผู้ฝักใฝ่ในธรรมผู้หนึ่งกล่าวว่า ตามที่จำเลยต้องคดีนี้ได้สืบสวนด้วยตัวเองทราบเบื้องหลังโดยตลอด แต่จะเบิกความก็เกรงจะกระทบกระเทือนแก่วงการพระภิกษุและพระศาสนา ขอสรุปว่า มูลกรณีทั้งหลาย ตามที่ทราบความจริงมา จำเลยถูกกลั่นแกล้งโดยไม่เป็นธรรมจริงๆ ไม่ได้กระทำผิดตามกล่าวหา ดังนั้น ศาลจึงขอให้จำเลยระลึกว่าเป็นคราวเคราะห์กรรมหรือกรรมเก่าของจำเลยเอง หรือมิฉะนั้นก็เป็นการสร้างบาปกรรมของคนมีกิเลส ไม่ใช่ความผิดของผู้ใด แต่เป็นความผิดของสังสารวัฏเอง
ศาลนี้รู้สึกสลดใจและเห็นใจจำเลย แต่เชื่อว่าจำเลยซึ่งอบรมอยู่ในพระศาสนามานาน คงจะซาบซึ้งดีในอุเบกขาญาณที่ว่า สัตว์ทั้งปวงมีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย ทำกรรมใดไว้หรือชั่วก็ตาม ก็จะเป็นกรรมทายาทรับผลของกรรมนั้น และคงจะตั้งอยู่ในคุณธรรมอันเป็นลักษณะของบัณฑิตในพระพุทธศาสนาสืบไป
อาศัยเหตุผลและดุลพินิจที่ได้วินิจฉัยมาจึงพร้อมกันพิพากษายกฟ้องโจทก์ ปล่อยจำเลยพ้นข้อหาไป....”
ภายหลังจากที่ศาลทหารได้พิพากษายกฟ้อง และพระพิมลธรรมได้รับการปล่อยตัวในวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๐๙ อีกเก้าปีต่อมา (๓๑ พฤษภาคม ๒๕๑๘) ท่านก็ได้รับการคืนสมณศักดิ์เป็น
เจ้าคุณพระพิมลธรรม อาสภเถร และอีกหกปีต่อมา (๕ ตุลาคม ๒๕๒๔) ได้มีพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชให้พระพิมลธรรมกลับคืนสู่ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎ์ ราชวรมหาวิหาร ภายหลังผ่านกระบวนการวินิจฉัยอันยาวนานทั้งจากคณะกรรมการกฤษฎีกาและกรรมการมหาเถรสมาคม
คดีพระพิมลธรรมกับศาลทหารถือเป็นกรณีศึกษาทางประวัติศาสตร์ที่ชี้ให้เห็นถึงปัญหาการใช้อำนาจของรัฐในการจัดการกับผู้เห็นต่าง โดยผ่านกลไกของศาลทหาร ซึ่งขาดหลักนิติธรรมและความเป็นกลางทางกฎหมาย คดีนี้สะท้อนให้เห็นว่าศาลทหารถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองของรัฐเผด็จการ การดำเนินคดีทางศาสนาในศาลทหารเป็นการข้ามเขตอำนาจระหว่างรัฐกับศาสนา การที่พระสงฆ์ผู้ทรงภูมิรู้ถูกจับกุมอย่างไม่มีหลักฐานแน่ชัดและไม่ให้โอกาสในการต่อสู้คดี เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน การถอดสมณเพศโดยรัฐ ไม่ใช่โดยองค์กรสงฆ์
ดังที่เขียนไว้ในบทความตอนที่แล้ว...แม้ผู้เขียนจะเห็นด้วยกับการปฏิรูปศาลทหาร แต่ในบางคดีศาลทหารก็ได้รับการยกย่องจากผู้คนสังคม เช่น ในกรณีคดีพระพิมลธรรม
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ปรีชา สุวรรณทัต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี