“ไม่มีรัฐบาลไหน ไม่ว่าจะมาจากพรรคการเมืองใด ที่จะมาบงการให้มหาวิทยาลัยเอกชน สอนหรือไม่สอนวิชาอะไรได้”
ข้อความข้างต้นเป็นส่วนหนึ่งในแถลงการณ์ชื่อ พันธสัญญาของการอุดมศึกษาอเมริกัน The Promise of American Higher Education) ของ อลัน เอ็ม การ์เบอร์ (Alan M.Garber) อธิการบดีมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่ยืนยันถึงเสรีภาพและความเป็นอิสระในทางวิชาการของมหาวิทยาลัย เพื่อโต้ตอบรัฐบาลทรัมป์ ที่เรียกร้องให้ฮาร์วาร์ดต้องปรับหลักสูตรตามที่รัฐบาลต้องการ
ก่อนหน้านั้น รัฐบาลทรัมป์ส่งหนังสือถึงฮาร์วาร์ดโดยข่มขู่ว่า รัฐบาลจะตัดงบอุดหนุนมหาวิทยาลัย ถ้าไม่ปรับปรุงหลักสูตรการสอนที่สร้างอคติด้านต่างๆ รวมถึงการต่อต้านชาวยิว ซึ่งรัฐบาลเสนอให้ปรับทั้งการศึกษาในหลายคณะและสถาบันเช่น คณะสาธารณสุข, แพทย์, ศาสนา เทววิทยา, สิทธิมนุษยชน, ตะวันออกกลางศึกษา, ภาษาศาสตร์และกฎหมาย
แถลงการณ์ของการ์เบอร์ทำให้นึกถึง ชาร์ลส์ ดับลิว เอเลียต (Charles W. Eliot) อดีตอธิการบดีของฮาร์วาร์ด ผู้ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์มหาวิทยาลัย และก็ไม่น่าจะมีใครลบสถิตินี้ไปได้
ในปี 1869 (๒๔๑๒) เอเลียต นักเคมีวัย 35 ปี ได้รับเลือกเป็นอธิการบดีของฮาร์วาร์ด และตลอดระยะเวลา 40 ปี ในตำแหน่งนี้ เอเลียตยึดถือแนวคิดว่า การศึกษาระดับอุดมศึกษาที่แท้จริงควรให้สิ่งที่สำคัญสามสิ่งแก่นักศึกษา สิ่งแรกคือ เสรีภาพในการเลือกเรียน สิ่งที่สองคือ โอกาสที่จะมีความสามารถพิเศษในสาขาวิชาเฉพาะและสิ่งสุดท้ายคือ ระบบการที่บังคับฝึกฝนให้แต่ละคนมีความรับผิดชอบควบคุมความประพฤติของตัวเอง
จุดยืนอีกเรื่องหนึ่งของเอเลียตคือ การคัดค้านการจัดตั้งมหาวิทยาลัยแห่งชาติของสหรัฐ ด้วยเหตุผลว่าการอุดมศึกษาอาจจะถูกแทรกแซงทางการเมืองจากรัฐบาลกลาง
ข้อถกเถียงเรื่องการจัดตั้งมหาวิทยาลัยแห่งชาติ ย้อนกลับไปได้ตั้งแต่ก่อนที่ประเทศสหรัฐจะมีระบบรัฐบาลกลางเช่นในปัจจุบัน และได้ถูกเสนอต่อสภาคองเกรสหลายครั้งในรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่เริ่มมีการก่อตั้งรัฐบาลกลาง
ในระหว่างการร่างรัฐธรรมนูญสหรัฐ ผู้แทนบางคนเสนอว่าควรจะมีบทเฉพาะกาลรวมอยู่ในรัฐธรรมนูญ เพื่อทำให้รัฐสภาสหรัฐสามารถตั้งมหาวิทยาลัยแห่งชาติได้ แต่ข้อเสนอนี้ถูกโต้แย้งกลับไปว่า ในอนุมาตรา 8 ของ มาตรา 1 ได้บัญญัติไว้แล้วว่า....
“รัฐสภามีอำนาจที่จะ...กำหนดและเก็บภาษี อากร ภาษีศุลกากรและอากรสรรพมิตเพื่อชำระหนี้ และเพื่อจัดการป้องกันร่วมและสวัสดิการทั่วไปของสหรัฐ”
และต่อมา ศาลได้ตีความข้อความที่ว่า “สวัสดิการทั่วไปของสหรัฐ” (general Welfare of the United States) โดยแบ่งความรับผิดชอบระหว่างรัฐบาลท้องถิ่นกับรัฐบาลกลาง เพื่อที่รัฐสภาอาจจะได้ใช้เงินจำนวนมากเพื่อประโยชน์ในด้านคมนาคม สาธารณสุข และการศึกษาที่อยู่ในความรับผิดชอบของรัฐบาลกลาง
จอร์จ วอชิงตัน หนึ่งในบิดาผู้ก่อตั้งประเทศและประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐ มีความเห็นว่า การจัดตั้งมหาวิทยาลัยแห่งชาตินั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับประเทศที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ ในพินัยกรรมของเขาถึงกับยกมรดกส่วนหนึ่งให้รัฐสภาใช้สำหรับการดำเนินการเกี่ยวกับโครงการจัดตั้งมหาวิทยาลัยแห่งชาติ
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ประธานาธิบดีอีกสี่คนต่อมา จะมีความเห็นสอดคล้องกันในโครงการนี้ไม่ว่าจะเป็น จอห์น อาดัมส์, โทมัส เจฟเฟอร์สัน, เจมส์ เมดิสัน และจอห์น ควินซี อาดัมส์ ที่ได้ยื่นคำขอไปรัฐสภาให้ตั้งมหาวิทยาลัยแห่งชาติ แต่ความพยายามดังกล่าวก็ยังไม่คืบหน้า เพราะสมาชิกรัฐสภาส่วนใหญ่ยังยึดมั่นในปรัชญาเกี่ยวกับสิทธิของรัฐ และการดำเนินการในเรื่องนี้อาจจะก่อให้เกิดความจำเป็นต้องมีการเก็บภาษีของรัฐบาลที่เพิ่มขึ้น
นับจากสมัยอาณานิคม วิทยาลัยอเมริกันมักจะสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรัฐและชุมชน ศาสนานิกายที่มีอำนาจคุมวิทยาลัยเหล่านี้และพวกต่อต้านลัทธิปัญญานิยมก็เป็นปรปักษ์กับโครงการนี้ เพราะมหาวิทยาลัยแห่งชาติอาจกลายเป็นศูนย์กลางของความเชื่อความจริงในศาสนาหรือความไม่นับถือศาสนา ดังนั้นจึงรวมกันคัดค้านความพยายามทุกอย่างที่จะให้ได้มาซึ่งการรับรองร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยแห่งชาติ
ในอดีตการตั้งวิทยาลัยสมัยอาณานิคมคือ ความต้องการของศาสนาคริสต์นิกายสำคัญต่างๆ ที่จะมีพระที่รู้หนังสือและได้รับการฝึกฝนจากวิทยาลัย เช่น ฮาร์วาร์ด-นิกายคอนกรีเกชันแนลลีสต์(Congregationalist) พรินซ์ตัน-นิกายเพรสไปทีเรียน (Presbyterians) ส่วนโคลัมเบีย-นิกายอิพิสโคพาเลียน (Episcopalians) เป็นต้น
การเคลื่อนไหวของศาสนาคริสต์นิกายต่างๆ ต่อการอุดมศึกษานี้ยังคงดำเนินเรื่อยมาตลอดศตวรรษที่ 19 นอกจากนั้น รัฐบาลกลางก็ยังลังเลที่จะสนับสนุนการอุดมศึกษา เพราะหน่วยงานของรัฐบาลกลางเองได้เริ่มที่จะตั้งหน่วยงานของตนเองที่เกี่ยวกับการค้นคว้าวิจัยและอบรมผู้ชำนาญการพิเศษ ทำให้มหาวิทยาลัยแห่งชาติเป็นสถาบันที่ทำงานซ้ำซ้อนกับหน่วยงานของรัฐบาลและมหาวิทยาลัยเอกชน
ภายหลังสงครามกลางเมือง (the Civil War) ความพยายามเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยแห่งชาติ ได้เริ่มกลับมาดำเนินการอีกครั้งหนึ่ง ด้วยการผลักดันของ ดร.จอห์น ดับลิว ฮอยท์ (John W. Hoyt) ซึ่งเป็นทั้งนักการเมือง นายแพทย์ นักเขียน บรรณาธิการหนังสือ และนักการศึกษา ดร.ฮอยท์ใช้เวลามากกว่าสามสิบปีในการเผยแพร่แนวคิดเกี่ยวกับความมุ่งหมายของมหาวิทยาลัยแห่งชาติ เพื่อสนับสนุนการวิจัยขั้นสูงและการเรียนการสอนในลักษณะที่ให้ใช้ประโยชน์ได้
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ ดร.ฮอยท์ประสบความสำเร็จในการชักจูงให้สมาคมการศึกษาแห่งชาติรับรองโครงการของเขา พร้อมกับได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกรัฐสภาจำนวนหนึ่ง ด้วยการเริ่มต้นเสนอร่างพระราชบัญญัติฉบับหนึ่งเสนอต่อรัฐสภาในปี 1872 และได้รับการสนับสนุนจากประธานาธิบดีแกรนท์ที่ได้แถลงสนับสนุนร่างพระราชบัญญัตินี้ต่อรัฐสภา แต่ก็ไม่มีผลใดๆ เกิดขึ้น
เพราะปรปักษ์ที่น่าเกรงขามที่สุดก็คือ อธิการบดี ชาร์ลส์ ดับลิว เอเลียต แห่งฮาร์วาร์ดที่คัดค้านมหาวิทยาลัยแห่งชาติ ด้วยเหตุผลว่าการอุดมศึกษาอาจจะถูกแทรกแซงทางการเมืองจากรัฐบาลกลาง และอาจจะเป็นการทำลายเสรีภาพทางวิชาการและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของปัจเจกบุคคล ต่อประเด็นนี้ เอเลียตได้รับการสนับสนุนจากอธิการบดีจากมหาวิทยาลัยเอกชนใหญ่ๆ แถบนิวอิงแลนด์ ในขณะที่อธิการบดีของคอร์แนล สแตนฟอร์ด และวิสคอนซิน สนับสนุนความคิดเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยแห่งชาติ
นับตั้งแต่ปี 1872 ร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยแห่งชาติอีกมากกว่าหกสิบฉบับที่ได้ถูกเสนอต่อรัฐสภาในระยะเวลาหกสิบกว่าปีต่อมาจนมาถึงช่วงทศวรรษ 1930s ก็เริ่มยอมรับกันแล้วว่า ความฝันของบิดาผู้ก่อตั้งประเทศในการใช้อำนาจส่วนกลางโดยตรงเพื่อจัดตั้งมหาวิทยาลัยแห่งชาติสหรัฐนั้นไม่สัมฤทธิผล
ดร.ธิติ สุวรรณทัต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี