สำนักงานสถิติแห่งชาติได้สำรวจโครงสร้างประชากรสูงอายุในปี 2564 เป็นครั้งที่ 7 โดยเริ่มสำรวจครั้งแรกในปี พ.ศ.2537 และในปีต่อๆ มา 2537, 2545, 2550, 2554, 2557 และ 2560 วันนี้ผมอยากให้ข้อมูลล้วนๆ แล้วในโอกาสต่อไปผมจะออกความเห็น
ในปี พ.ศ.2564 มีผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) จำนวนถึง 13,358,751 คน หรือ 19.6% ของประชากรทั้งหมด(ชาย 5,974,022 คน หรือ 44.7%) หญิง 7,384,729 คน หรือ 55.3% เป็นผู้สูงอายุวัยต้น (60-69 ปี) 7,645,141 คน (57.2%) วัยกลาง (70-79 ปี) จำนวน 3,942,668 คน (29.5%) วัยปลาย (80 ปีขึ้นไป) 1,770,942 คน (13.3%)
ทั้งนี้มีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นจากปี 2537 (6.8%) เป็น 19.6% ในปี 2564 หรือเพิ่มขึ้น 12.8% อย่างรวดเร็วภายใน 27 ปีเท่านั้น หรือเพิ่มจาก 10% ในปี พ.ศ.2548 เป็น 20% ในปี พ.ศ.2566 ภายในระยะเวลาเพียง 18 ปี
ดัชนีการสูงอายุ คือ จำนวนผู้สูงอายุ 100 คน เปรียบเทียบกับประชากรวัยเด็ก (ต่ำกว่า 15 ปี) ในปี 2564 ดัชนีการสูงอายุมีค่าเท่ากับ 120.5 คือ มีผู้สูงอายุ 120.5 คนต่อประชากรวัยเด็ก 100 คน
อัตราส่วนพึ่งพิงวัยสูงอายุ คือ ภาระการเลี้ยงดูผู้สูงอายุของประชากรวัยทำงาน ในปี 2564 มีอัตราส่วนพึ่งพิงวัยสูงอายุเท่ากับ 30.5 นั่นคือ ประชากรวัยทำงาน 100 คนจะต้องรับภาระเลี้ยงดูผู้สูงอายุ 31 คน
อัตรส่วนเกื้อหนุน คือ จำนวนประชากรวัยแรงงานที่จะสามารถให้การเกื้อหนุนผู้สูงอายุ 1 คน ในปี 2564 มีประชากรวัยทำงาน 3 คนต่อผู้สูงอายุ 1 คนเท่านั้น
ผู้สูงอายุที่อยู่คนเดียวตามลำพังในครัวเรือนมี 12% ในปี 2564 อยู่กับคู่สมรสตามลำพัง 21.1% อยู่กับบุคคลอื่น 66.9%
มีผู้สูงอายุ 34.7% ที่ยังทำงานอยู่ สาเหตุเพราะสุขภาพแข็งแรง 47.3% ต้องหารายได้เลี้ยงดูครอบครัวหรือตนเอง 44.6% อาชีพประจำไม่มีผู้ดูแลแทน 3% อื่นๆ เช่น ช่วยบุตรสมาชิกในครัวเรือนยังมีหนี้สิน เป็นต้น 5.1%
รายได้หลักของผู้สูงอายุมาจาก 2 แหล่งใหญ่ คือ จากการทำงาน(32.4%) จากบุตร (32.2%) จากเบี้ยยังชีพราชการ (19.2%) บำเหน็จบำนาญ (7.5%) จากคู่สมรส (4.5%) ดอกเบี้ยเงินออม 1.5%
สุขภาพร่างกายของผู้สูงอายุมีเพียง 3.3% เท่านั้นที่มีสุขภาพดีมาก, สุขภาพดี 42.7%, ปานกลาง 41.6%, สุขภาพไม่ดี 10.7% ไม่ดีมากๆ 1.7%
ผู้สูงอายุที่อยู่ในกลุ่มติดเตียงมี 1.3% ติดบ้าน 1.8% ติดสังคม 96.9% มีผู้ดูแลผู้สูงอายุ 10.4% (วัยปลาย 35.6%, วัยกลาง 11.4%, วัยต้น 4%) ผู้ดูแลเป็นบุตร 59.9% คู่สมรส 23% ญาติ 14.3% บุคคลอื่น 2.8%
ในปี พ.ศ.2548 ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และในปี 2566 เป็นสังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ และจะเป็นสังคมสูงอายุระดับสุดยอด (28% ของประชากรทั้งหมดมีอายุเกิน 60 ปี หรือ > 65 ปี 20% ภายใน 2576)
ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ 92.7% เป็นผู้ที่ได้รับการศึกษา โดย 64.5% จบการศึกษาต่ำกว่าระดับประถมศึกษา 9.9% จบระดับประถมศึกษา 9% จบมัธยมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น 4.1% ตอนปลาย ปวช. 4.9% ปวส. ปวท. อนุปริญญา 1.6% ปริญญาตรี 6.4% สูงกว่าปริญญาตรี 1.1% ไม่ได้รับการศึกษาหรือไม่เคยเรียนหนังสือ 7.3% อ่านออกเขียนได้ 88.3%
ผู้สูงอายุทำงานเฉลี่ย 35.7 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ รายได้เฉลี่ยต่อปีของผู้สูงอายุ 10,000-29,999 บาท 25%, 30,000-49,999 บาท 20%, 50,000-69,999 บาท 15.2%, เฉลี่ย 300,000 บาท 6% ต่ำกว่า 10,000 บาท 9%ความเพียงพอของรายได้ 4.9% มีเหลือเก็บ, 53% รายได้เพียงพอมีรายได้เพียงพอเป็นบางครั้ง 26% รายได้ไม่เพียงพอ 16.1%
การออม (รวมทั้งการลงทุน) 54.3 มีการออม โดยที่มีการออมต่ำกว่า 50,000 บาท 41.4%, 50,000-99,999 บาท 21.7% 100,000-399,999 บาท 25%, 400,000 บาทขึ้นไป 11.9%
ผู้สูงอายุที่มีพฤติกรรมสุขภาพที่พึ่งประสงค์เพียง 25.1% ออกกำลังกายประจำ 36.9% กินผัก ผลไม้ประจำ 85.1% ดื่มน้ำสะอาด 8 แก้วขึ้นไป 82.9% ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ 2.9% สูบบุหรี่ประจำ 8% สูบบุหรี่ และดื่มแอลกอฮอล์ 1.5% เข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่มชมรมผู้สูงอายุ 27.4% เข้าร่วมกิจกรรมในวันสำคัญของหมู่บ้าน/ชุมชน 49.3% มีความสุขมาก 52.8%, มีความสุขมากที่สุด 11.7%
6.4% ของผู้สูงอายุหกล้มภายใน 6/12 หกล้ม 1 ครั้ง 4.2% หกล้มมากกว่า 1 ครั้ง 2.2% สาเหตุคือ สะดุด 42.8%, ลื่น 35.5% พื้นต่างระดับ 9.9% หน้ามืด วิงเวียน 6.4% หกล้มบริเวณตัวบ้านมากที่สุด 43.1% นอกบริเวณบ้าน 31.6% และภายในตัวบ้าน 25.3%
ผู้สูงอายุทุกคน 99.6% มีสวัสดิการค่ารักษาพยาบาล โดย 81.9% จากสวัสดิการจากประกันสุขภาพถ้วนหน้า ข้าราชการ/บำนาญ 14% และประกันสังคม/กองทุนเงินทดแทน 2.3%
บ้านที่มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุ คือ มี 5 ลักษณะ คือ บันไดบ้านมีให้ยึดเกาะ ห้องน้ำ/ส้วม มีราวให้ยึดเกาะ ห้องนอนอยู่ชั้นล่าง ห้องน้ำตั้งอยู่ในบ้าน และห้องมีส้วมแบบนั่งห้อยเท้า
คราวหน้าผมจะยกประเด็นที่สำคัญมาคุยกันครับ
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี