ผมไม่อยากให้ใครสักคนเป็นโรคเบาหวาน ถ้าเป็นไปได้ โดยเฉพาะเบาหวานชนิด 2 โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus) คือ โรคที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง เนื่องมาจากร่างกายไม่ผลิตอินซูลิน (ชนิดที่ 1) หรือผลิตไม่พอ (ชนิดที่ 2) หรือร่างกายมีความดื้อต่อฤทธิ์ของอินซูลิน (insulin resistance) อินซูลินเป็นฮอร์โมนที่คอยควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในระดับที่ปกติ คนที่เป็นเบาหวานมักเป็นชนิดที่ 2 นอกจาก 2 ชนิดหลักๆ แล้วยังมีเบาหวานชนิดอื่นๆ ด้วย แต่ไม่ขอพูดในที่นี้ จะขอพูดเฉพาะปัญหาใหญ่ คือ ชนิดที่ 2
ชนิดแรกป้องกันไม่ได้ ชนิด 2 ในบางคนเป็นพันธุกรรม คือ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย เป็น เราก็มีโอกาสเป็น แต่ถึงแม้เรามีพันธุกรรมทางด้านโรคเบาหวาน ถ้าเรารู้แต่เนิ่นๆ ว่าญาติเราเป็น แต่เรามีการปฏิบัติตนเองอย่างเคร่งครัด มีวินัย ตั้งแต่เยาว์วัยและตลอดไป เราก็จะลดโอกาสที่จะเป็น DM หรือเป็นตอนอายุมากแล้ว หรือเป็น แต่เป็นไม่มาก
นอกจากกรรมพันธุ์แล้ว สาเหตุหลักๆ ของการเป็นโรค DM มาจากการที่เรากินน้ำตาล แป้ง ฯลฯ โดยเฉพาะแป้งที่ผ่านกระบวนการทางอุตสาหกรรมแล้ว เช่น ข้าวที่ขัดแล้ว ขนมปังที่ไม่ใช่ whole grain มากเกินไป จากการที่เรากินอาหาร (พลังงาน) มากกว่าที่เราใช้ อาหารที่เหลือก็จะทำให้เราอ้วน ความอ้วนจะทำให้เรามีโอกาสดื้อต่ออินซูลิน จึงจะเป็นเบาหวานไม่เร็วก็ช้า
อาหารที่ดีที่เหมาะสม และที่ทุกๆ คนควรกิน ไม่ได้ป้องกันโรคเบาหวานเท่านั้น แต่จะช่วยป้องกันโรคอื่นๆ ด้วย เช่น โรคหลอดเลือดทั่วร่างกาย โดยเฉพาะที่หัวใจ สมอง โรคมะเร็ง (อ้วนอย่างเดียวมีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งถึง 13 ชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรคมะเร็งเต้านม ตับ และลำไส้ใหญ่) โรคอ้วน โรคไขมันในเลือดสูง โรคไขข้อ กระดูก โรคเกาต์โรคนอนกรนและหยุดหายใจ โรคความดันโลหิตสูง ฯลฯ
มีสมาชิกวุฒิสภาท่านหนึ่ง เป็นกรรมาธิการการสาธารณสุข ที่ถึงแม้ท่านไม่ได้เป็นแพทย์ แต่ท่านสนใจเรื่องการสร้างเสริมสุขภาพ ป้องกันโรคมาก ท่านถึงกับรณรงค์ให้มีการหยุดการกินหวาน เค็ม มัน(ผมอยากให้เรียกว่า หวาน เค็ม มัน มากกว่า หวาน มัน เค็ม เพราะในความเห็นของผม เค็มอันตรายมากกว่าไขมัน ซึ่งไขมันมีทั้งไขมันที่ดีและไขมันที่ไม่ดี) ท่านยังมีความเห็นว่า ความหวานเป็นบ่อเหตุของการเกิดมะเร็ง ซึ่งผมก็เห็นด้วย โดยน้ำตาลมี 2 จังหวะในการทำให้เกิดมะเร็ง (จากความรู้ในขณะนี้ อีกหน่อยอาจมีข้อมูลว่ากินหวานอย่างเดียวเป็นมะเร็งได้โดยตรง) คือ กินหวานมากทำให้มีโอกาสอ้วน พออ้วน ฯลฯ แล้วมีโอกาสเป็นโรคมะเร็ง ซึ่ง 2 ขั้นตอนนี้ไม่มีใครเถียงได้ เพราะ WHO เป็นคนบอกเองว่าโรคอ้วน (obesity) ทำให้คนมีโอกาสเป็นโรคมะเร็งถึง 13 ชนิด
ท่าน สว.ท่านนี้เห็นว่า และผมเห็นด้วย ประเทศไทยควรมีกองทุนหรือมูลนิธิสำหรับ “การดูแลสร้างเสริมสุขภาพ เพื่อป้องกันโรคมะเร็ง” เพราะถ้าเป็นมะเร็งแล้ว ถึงแม้วินิจฉัยได้เร็ว รักษาได้ ก็ไม่ดีแน่นอน เพราะอย่างน้อยก็มีค่าใช้จ่ายสูง ท่านผู้มีฐานะท่านใด หรือรัฐบาล จะกรุณาตั้งกองทุนนี้ไหมครับ
การป้องกันโรคเบาหวานหลักๆ คือ การเลือกกินอาหารและการออกกำลังกายที่เหมาะสม สมกับที่ Hippocrates บิดาของวงการแพทย์ชาวกรีก กล่าวไว้สองพันกว่าปีแล้วว่า “If we could give individual the right amount of nourishment and exercise, not too little and not too much, we would have found the safest way to health” Hippocrates 460-370 BC หรือแปลว่า“ถ้าเราสามารถให้ทุกคนเพียงทานอาหารและออกกำลังกายที่เหมาะสมไม่มากหรือน้อยไป จะเป็นการดูแลสุขภาพที่ปลอดภัยที่สุด”
Hippocrates พูดไว้ 2 พันกว่าปีแล้ว เก่งมาก!!! รู้ได้อย่างไร เป็นคำกล่าวที่เป็นอมตะจริงๆ
การกินอาหารมีวิธีการกินหลายชนิดมาก เช่น Atkin Diet, Intermittent Fasting (IF), Ketogenic diet, Mediterranean Diet, DASH (Dietary Approation to stop Hypertension) and Mind Diet แต่ผมบอกได้เลยว่า ไม่มี one size fits all หรือไม่มีวิธีการไหนที่เหมาะสำหรับทุกๆ คน ทุกๆ คนต้องมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับโภชนาการ แล้วนำความรู้นี้มาประยุกต์ใช้ทดลองกับตัวเอง จนเลือกได้วิธีที่ดีที่สุด สำหรับตนเอง
หลักๆ คือ กินน้อยกว่าใช้ ผอมแน่ หรือกินพอดีกับที่ใช้ น้ำหนักก็จะอยู่คงที่ แต่ถึงแม้กินเท่าใช้น้ำหนักจะคงที่ แต่ถ้าส่วนประกอบของอาหารไม่เหมาะสมผู้นั้นอาจขาดสารอาหารบางชนิดก็ได้
หลักการของการกินที่ถูกต้อง คือ กินผักมากๆ หลายๆ ชนิดหลายๆ สี เป็นส่วนใหญ่ ผักสดได้ก็ดี ดีกว่าใส่น้ำสลัดที่หวาน (ที่ปราศจากสารเคมี เชื้อโรค ล้าง แช่น้ำนานๆ) ผลไม้บ้าง (ที่ไม่หวานจัด คือ ที่เขียวและแข็ง) ข้าวกล้อง (กินเท่าที่ใช้) ปลาทะเลอาหารทะเล ปลาน้ำจืด ไก่ที่ไม่มีหนัง (อกมีไขมันน้อยกว่าน่อง สะโพก) หลีกเลี่ยง ลดหรืองด อาหารแปรรูป เนื้อแดง มัน หนัง เครื่องในสัตว์บกหวาน เค็ม มัน (น้ำตาลทั้งวันไม่เกิน 6 ช้อนชา เค็มไม่เกิน 2,000 มก.โซเดียม (Na) หรือเกลือไม่เกิน 5 กรัม หรือ 1 ช้อนชา น้ำมันไม่เกิน 6 ช้อนชาของน้ำมันพืช ยกเว้นน้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม ซึ่งเป็นไขมันอิ่มตัว) ไขมันอิ่มตัวที่มีอยู่ในสัตว์บกเป็นไขมันที่ไม่ดี ไขมันไม่อิ่มตัวมีอยู่ในปลาทะเล พืช ผัก ถั่ว เต้าหู้ เป็นไขมันที่ดี
และควรออกกำลังกายไปด้วย ครั้งละ 30-60 นาที5 ครั้งต่อสัปดาห์ ด้วยการเดิน วิ่ง ว่ายน้ำ เต้นแอโรบิกถีบจักรยาน ฯลฯ แต่ขอย้ำว่าการออกกำลังกายจนตายถ้าไม่คุมอาหาร น้ำหนักก็จะไม่ลง
เลือกกิน ออกกำลังกาย โดยมีเป้าหมายให้ BMI ไม่เกิน 23,พุงชายหญิงไม่เกิน 90, 80 ซม. ตามลำดับ
แค่นี้ก็จะลดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน และโรคอื่นๆ ไปได้มากเลยครับ
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี