สัปดาห์ก่อนเราได้เรียนรู้หลักการช่วยชีวิตของสัตว์เลี้ยงของเราให้รอดพ้นจากพิษของสัตว์มีพิษที่กัดต่อยสัตว์เลี้ยงไปบ้างแล้ว สัปดาห์นี้ เรามาเรียนรู้เพิ่มเติมเรื่องนี้กัน เพื่อความปลอดภัยของสัตว์เลี้ยงของเรา
การจัดการกับสัตว์มีพิษ
ในกรณีถูกงูกัด (Snakebite Envenomation) ลักษณะอาการขึ้นอยู่กับชนิดของงูที่กัด เพื่อดูว่าพิษมีผลต่อระบบประสาทหรือไม่ เช่น งูเห่า งูจงอาง งูสามเหลี่ยม จะมีพิษต่อระบบเลือด ส่วนงูเขียวหางไหม้ งูแมวเซาและงูกะปะ มีพิษต่อกล้ามเนื้อ
ประเทศไทยจัดกลุ่มงูพิษตามลักษณะของภูมิประเทศ จึงทำให้ง่ายต่อการดูแลรักษาคนและสัตว์เลี้ยงที่ถูกงูพิษกัด และเพื่อให้ใช้เซรุ่มได้เหมาะสม มีประสิทธิภาพสูงสุด สำหรับอาการที่พบหลังถูกงูพิษกัด พบว่ามีอาการเฉพาะที่ เช่น ปวด บวม มีรอยเขี้ยว และมีเลือดออกในตำแหน่งที่ถูกกัด
ส่วนอาการทางระบบกล้ามเนื้อ พบว่ามีกล้ามเนื้ออ่อนแรง หนังตาตก น้ำลายไหล หายใจลำบาก ช็อก แต่โดยธรรมชาติแล้วงูมักจะกัดส่วนใบหน้า หรือหัวของสัตว์เลี้ยง เพราะสัตว์เลี้ยงนั้นเมื่อเห็นงู ก็มักจะกระโจนเข้าใส่เพื่อกัดงู ดังนั้น ตำแหน่งของการถูกงูกัดจึงมักไม่พบที่ส่วนท้ายลำตัวของสัตว์เลี้ยง
การปฐมพยาบาล ต้องพยายามทำให้สัตว์อยู่นิ่งมากที่สุด และห้ามใช้ชุดห้ามเลือด (tourniquet) รัดแน่นจนเลือดไม่ไหลเวียนไปเลี้ยงอวัยวะส่วนที่ถูกรัดแน่น
ห้ามใช้ไฟจี้แผล แล้วห้ามใช้แอลกอฮอล์ หรือสารเคมีใด ๆ ราดลดไปบนแผล แต่ให้ใช้น้ำสะอาดล้างแผลที่ถูกกัดโดยทันที และล้างให้สะอาดที่สุด แล้วรีบนำสัตว์เลี้ยงส่งโรงพยาบาลสัตว์โดยเร็ว
กรณีสัตว์เลี้ยงถูกแมลงกัดต่อย เช่น ผึ้ง ต่อ แตน จะพบแผลมีอาการบวมแดงเฉพาะที่ อาจเกิดการแพ้ที่รุนแรงจนทำให้สัตว์เลี้ยงมีภาวะหายใจลำบาก ชีพจรเต้นเร็ว และความดันตก
การปฐมพยาบาล ต้องรีบเอาเหล็กในออกจากแผลโดยเร็วด้วยการใช้บัตรพลาสติกแข็งขูดเบา ๆ โดยไม่ต้องบีบแผล ใช้ประคบเย็นเพื่อลดอาการปวดบวม เฝ้าระวังอาการแพ้รุนแรง โดยอาการอาจเกิดภายใน 30 นาที – 2 ชั่วโมง หากพบความปกติ เช่น หายใจลำบาก ตำแหน่งที่ถูกต่อยบวมมาก อักเสบมาก ทำให้สัตว์ลเลี้ยงเจ็บปวดมาก ต้องรีบพาไปพบสัตวแพทย์ทันที
ส่วนการถูกแมงป่อง ตะขาบ กัดหรือต่อย สัตว์เลี้ยงจะมีอาการปวดแสบปวดร้อนอย่างรุนแรง มีแผลบวมเฉพาะที่ พิษอาจกระทบต่อระบบประสาท ทำให้สัตว์กระสับกระส่าย น้ำลายฟูมปาก หายใจผิดปกติ
การปฐมพยาบาล ใช้ประคบเย็นในตำแหน่งที่ถูกกัด แล้วจำกัดการเคลื่อนไหวของสัตว์เลี้ยง ต้องสังเกตอาการของระบบประสาท เช่น มีการอ่อนแรงหรือลุกไม่ได้หรือไม่ หรือมีภาวะหายใจลำบากหรือไม่ แล้วรีบพาสัตว์ไปพบสัตวแพทย์โดยเร็วที่สุด
การรักษาสัตว์เลี้ยงในกรณีถูกสัตว์มีพิษกัดต้อง สัตวแพทย์มักให้ยาแก้แพ้ ยาลดปวด หรือฉีดเซรุ่ม ในกรณีงูพิษกัด และอาจใช้เครื่องช่วยหายใจ และให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ (ให้น้ำเกลือ) และอาจต้องให้ออกซิเจน ในกรณีพบภาวะหายใจลำบาก หรือขาดออกซิเจนจากภาวะการแพ้ โดยสัตวแพทย์จะรักษาไปตามอาการที่ตรวจพบ โดยดูจากชนิดของพิษของสัตว์
ส่วนการถูกสัตว์มีพิษอื่น ๆ กัด เช่น มดคันไฟ มดแดง มดดำ หรือแมลงอื่น ๆ รวมถึงการที่สัตว์เลี้ยงได้รับพิษจากสัตว์อื่น ๆ เช่น คางคก อาจพบความเป็นเป็นพิษได้ เช่น พบว่ามีผื่นแพ้ ผิวหนังอักเสบแดง สัตว์เลี้ยงอาจมีอาการปวด อักเสบ
เมื่อตรวจพบความผิดปกติเกิดขึ้นกับสัตว์เลี้ยงสัตว์ย้ำว่าต้องรีบพาไปพบสัตวแพทย์ทันที อย่าให้สัตว์เลี้ยงกินยาเอง เพราะจะเป็นผลร้ายกับสัตว์เลี้ยงมากกว่า และย้ำว่าสิ่งที่ไม่ควรทำเมื่อถูกสัตว์มีพิษกัด คือห้ามใส่ยา หรือสมุนไพร หรือสารเคมีที่ไม่มีข้อมูลทางการแพทย์ว่าสามารถใช้รักษาได้
สำหรับสัตว์มีพิษร้ายแรงมาก ๆ ขอย้ำว่าอย่าพยายามจับมัน เพราะคนอาจถูกกัดได้ โดยเฉพาะ งูจงอาง งูเห่า แต่ต้องจดจำลักษณะของงูให้ได้มากที่สุด เพื่อให้ข้อมูลสัตวแพทย์ จะเป็นประโยชน์อย่างมากในการวินิจฉัยและตรวจรักษา และที่ต้องย้ำมากที่สุดคือรีบพาสัตว์เลี้ยงที่ถูกสัตว์มีพิษกัดต่อยไปพบสัตวแพทย์ทันที
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี