มติชนออนไลน์ นำเสนอข่าวว่า 12 เมษายน 2560 นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายนายทักษิณ ชินวัตร โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊คแสดงความเห็นกรณี คสช.ท่านหนึ่ง ขอความเห็นใจสื่อ ว่า อย่าลงรูปลูกของตนเพราะเกรงจะถูกคุกคาม โดยนายพานทองแท้ ระบุว่า

“...อ้าว…เฮ้ยย!! ไม่เหมือนที่คุยกันไว้…นี่หน่า..!!

วันนี้ คสช.ท่านพูดว่า.. ขออย่าลงรูป ลูกสาวฝาแฝด ห่วงความปลอดภัย “ขอให้เห็นใจผมหน่อย” เป็นเรื่องของความปลอดภัยและไม่สบายใจ ไปเล่นรูป ลงรูปดาราคนอื่นไปเถิด สงกรานต์..ผมไม่ได้ไปไหนอยู่แล้ว แต่ใช่ว่าครอบครัวผมจะไม่ไปไหน ขอให้เห็นใจผมหน่อย”

วันนั้น..คสช.ท่านพูดว่า “ที่ทหารไปถ่ายรูป น.ส.ยิ่งลักษณ์นั้น อาจเห็นว่าท่านสวย อย่าไปคิดมากหรือวิตกกังวล ขอให้ใจเย็นๆ คสช.ไม่ได้ไปทำอะไร” ตอนคนอื่นโดนถ่ายรูป คสช.ท่านตอบมาอย่างนี้ครับ พอตอนนี้ลูกสาวท่านฯ โดนคนถ่ายรูปบ้าง ท่านกลับมาขอความเห็นใจ

เรื่องบางเรื่องถ้าไม่เกิดขึ้นกับตัวเอง ท่านไม่มีทางรู้หรอกครับ คนนั่งรถเบนซ์กันกระสุนคันละหลายสิบล้าน ย่อมไม่เข้าใจคนนั่งรถกระบะ…ฉันใด

คนที่ลูกเมียไม่โดนตามถ่ายรูป ย่อมไม่เข้าใจคนอื่นที่โดนรังแก…ฉันนั้นครับ”

มีประเด็นที่น่าสนใจ น่าวิเคราะห์ และน่าบอกกล่าวแก่ผู้ใดก็ตามที่ใช้เพจ “พานทองแท้” มาหาประโยชน์ทางการเมืองแบบ “ตื้นเขิน” เช่นนี้ คือ

1)ทั้ง “มติชน” และ “พานทองแท้” ล้วนใช้ “ลูกไม้เดียวกัน” คือ ไม่ระบุชื่อ ว่าใครเป็นคนกล่าว ว่าขออย่าถ่ายรูปลูกแฝดของตน โดยเลี่ยงไปใช้คำว่า “คสช.ท่านหนึ่ง” (มติชน) กับ “คสช.” (พานทองแท้) ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง สำนักข่าวอย่างมติชนย่อมรู้ว่าใครเป็นคนพูด ซึ่งสามารถเจาะจงไปยังผู้พูดได้เลย โดยไม่ต้องเลี่ยงไปใช้คำดังกล่าว ส่วนพานทองแท้นั้น ยกไว้ให้ เพราะไม่ค่อยแน่ใจใน “ปัญญา” ของเขา ว่าพอจะรู้ความในเรื่องนี้ไหม หรือมีนิสัย “ไต่สวนทวนความ” อยู่ในกมลสันดานหรือไม่ เพียงแต่สะดุดใจ ที่ทั้งมติชนและพานทองแท้พร้อมใจกัน “เลี่ยงข้อเท็จจริง” พื้นๆ ตรงนี้

2)คนที่กล่าว คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ครับ ท่านกล่าวไว้เมื่อวันที่ 12 เมษายน ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล หลังเสร็จจากการเป็นประธานในพิธีเจริญพระพุทธมนต์ งานสืบสานวัฒนธรรม ประเพณีสงกรานต์ ประจำปี 2560 โดยกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า สงกรานต์ปีนี้ต้องการให้ทุกคนช่วยกันลดอุบัติเหตุ โดยทุกคนต้องมีจิตสำนึก และการจำหน่ายสุราในพื้นที่เล่นน้ำสงกรานต์จะทำให้เกิดความวุ่นวาย วันนี้ประเพณีสงกรานต์ผิดเพี้ยนไปมากแต่ต้องไม่เกินขอบเขต สงกรานต์ปีนี้ขอให้ทุกคนปลอดภัย เวลาขับรถก็ขอให้นึกถึงคนอื่นและเมื่อเที่ยวสงกรานต์ถ้าจะคิดถึงหน้านายกฯก็ขอให้คาดเข็มขัดนิรภัย ไม่นั่งท้ายกระบะ ไม่เมาสุรา จากนั้นก็เตือนตัวเอง

นายกฯ กล่าวตอนท้ายว่า “ส่วนตัวผมไม่ได้ไปไหน แต่ขอร้องเรื่องลูกของผมว่าอย่าไปลงรูปเขาเลย เพราะเป็นเรื่องของความปลอดภัยและไม่สบายใจ ไปเล่นรูปลงรูปดาราคนอื่นไปเถิดขอให้ดูแลเรื่องความปลอดภัยให้ผมด้วย อย่าคิดว่าเป็นเรื่องสนุกและมัน ส่วนผมไม่ได้ไปไหนอยู่แล้ว แต่ใช่ว่าครอบครัวผมจะไม่ไปไหน ขอให้เห็นใจผมหน่อย”

นี่คือข้อเท็จจริงว่า “ใครพูด” พูดอย่างไร พูดกับใคร และพูดที่ไหน

3)ถามว่าพานทองแท้ (เขียนเองหรือให้ใครเขียนก็ไม่รู้นะ) พอจะมี “ประเด็น” บ้างหรือไม่ ตอบได้เลยว่า มีครับ คือ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ไม่ควรถูกก้าวล่วงความเป็นส่วนตัว ควรจะเคารพสิทธิ์และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของกันและกัน และควรพิจารณาทั้งเรื่องความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยควบคู่กันไปด้วย เพียงแต่สองกรณีที่พานทองแท้นำมาเป็น “คู่เทียบ” กันนั้น มันดูฉลาด มีตรรกะ มีเหตุผล และคมคายหรือไม่ ไปวิเคราะห์กันต่อ

4)จะเพราะอยากทิ่มแทง คสช. อยากอวดปัญญาตนเอง อยากปกป้องอาปู หรืออะไรก็ตาม พานทองแท้เลือกคู่เปรียบเทียบผิดครับ

4.1 ยิ่งลักษณ์ เป็นอดีตนายกรัฐมนตรี เป็น “บุคคลสาธารณะ” โดยสมบูรณ์ แต่ลูกสาวฝาแฝดของ พล.อ.ประยุทธ์นั้น ไม่ใช่! ก็เหมือนกับโอ๊คนั่นแหละ ไม่ว่าเลือกจะมีผัวหรือมีเมียก็ตาม บุคคลดังกล่าวยังไม่ใช่บุคคลสาธารณะเหมือนที่โอ๊คเลือกจะเป็น เปรียบเทียบให้ชัดยิ่งขึ้นก็คือ ยิ่งลักษณ์เป็นบุคคลสาธารณะ แต่ “น้องไปป์” ไม่ใช่ แม้น้องไปป์จะเป็นลูก ไปไหนมาไหนเป็นเงาตามตัวของแม่ แต่สื่อหรือใครก็ตามยังต้องระวังความเป็นส่วนตัวของน้องไปป์ ไม่เที่ยวถ่ายภาพเขามานำเสนอ โดยเฉพาะสื่อสังคมออนไลน์ ยิ่งไม่มีสิทธิ์เอารูปน้องไปป์มาเผยแพร่ส่งเดช

4.2 ยิ่งลักษณ์ มีผลและอาจมีส่วนต่อการเคลื่อนไหวทางการเมืองได้ ดังนั้น หลังรัฐประหารใหม่ๆ เธอก็ไม่ต่างจากคนอื่นๆ เช่น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, นายสุเทพ เทือกสุบรรณ, นายเนวิน ชิดชอบ, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ฯลฯ ที่ล้วนถูกจับตา ถูกติดตาม ถูกตามถ่ายภาพ ถูกตรวจสอบ แต่ความที่คนอื่นเขาไม่โวยวาย และไม่มีบริวาร “คาบ” มาทำให้เป็นประเด็น มันก็เลยไม่เป็นประเด็น เพียงแต่มีความต่างอยู่นิดหนึ่ง ตรงที่ ยิ่งลักษณ์เป็นสุภาพสตรี ย่อมต้องการความเป็นส่วนตัวมากกว่าบุคคลที่ได้ยกตัวอย่างมา

4.3 ดังนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ยิ่งลักษณ์จะถูก “ตาม” แต่ก็เห็นด้วยกับพานทองแท้ว่า ในการตาม อย่าให้ถึงกับมีสัญญาณคุกคาม ก้าวล่วง กันจนเกินไปเป็นใช้ได้

4.4 ยิ่งลักษณ์ไปไหนมาไหนในช่วงหลังรัฐประหารใหม่ๆ อย่าบอกนะว่า ไม่มี “นัยทางการเมือง” ไปด้วยความสุจริตใจในทุกที่ ทุกงาน คือ ตัวยิ่งลักษณ์ไม่มีอะไรหรอก เธอก็แบ๊วๆ ใสๆ ไปตามประสาของเธอ แต่เธอทำตามยุทธศาสตร์ของใครอยู่ไหม ขี้ข้าบริวารคอยจะเอาเหตุการณ์ทั้งหลายของเธอ ไป “ยุยงปลุกปั่น” ทางการเมืองอยู่ไหม ต้องเอาเรื่องเหล่านี้ไปประกอบการพิจารณาด้วย

4.5 ที่ผ่านมา ยิ่งลักษณ์อาจถูกตามมาก และตามอย่างเกินขอบเขตที่จะ “รับได้-รับไหว” แต่มันก็ผ่านไปสักระยะหนึ่งแล้ว คือ เมื่อสถานการณ์บ้านเมืองคลี่คลาย ประชาชนอยู่ในที่ตั้งอย่างสงบ เขาก็ผ่อนปรน ปรับเปลี่ยน ลดความเข้มข้นของการติดตามดู ใช่หรือไม่

4.6 การเลือกคู่เปรียบเทียบของพานทองแท้ จึงตื้นเขิน ฉาบฉวย และมีวัตถุประสงค์อื่นแอบแฝง

5) การที่พานทองแท้เลือกจะไม่เจาะจงว่าคนพูดคือ “พล.อ.ประยุทธ์” คงเพราะต้องการ “ลากความ” มาที่ประโยคหลัง ที่กล่าวว่า “...วันนั้น..คสช.ท่านพูดว่า “ที่ทหารไปถ่ายรูป น.ส.ยิ่งลักษณ์นั้น อาจเห็นว่าท่านสวย อย่าไปคิดมากหรือวิตกกังวล ขอให้ใจเย็นๆ...” ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว คนพูดประโยคนี่ไม่ใช่ พล.อ.ประยุทธ์

6) ย้อนดูข่าวเก่าก็พบรายงานข่าวว่า “...ส่วนกรณีที่นายวรชัย เหมะ อดีตสส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ไม่พอใจที่มีทหารติดตามไปทุกที่ ถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลนั้น พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า คงไม่ใช่ เพราะเจตนาของ คสช.ที่ส่งทหารไปเพื่อดูแลความคุ้มครองให้เกิดความสงบเรียบร้อย หากมีอะไรเกิดขึ้น คสช.ที่รับผิดชอบในพื้นที่นั้นๆ ก็ต้องรับผิดชอบ ดังนั้นตนย้ำว่าไม่ใช่เป็นการไปละเมิดสิทธิ์

ส่วนที่ทหารไปถ่ายรูป น.ส.ยิ่งลักษณ์นั้น อาจเห็นว่าท่านสวย ก็ไม่เป็นไร อย่าไปคิดมากหรือวิตกกังวล ขอให้ใจเย็นๆ คสช.ไม่ได้ไปทำอะไร เราดูแลรักษาความปลอดภัย แม้แต่สื่อยังเข้าใจ คงจะมีแต่นายวรชัย ที่ไม่รู้ ถ้าน.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่ชอบ ต่อไปตนจะเปลี่ยนใหม่ ไม่ใช้ทหารแต่งเครื่องแบบ เพราะท่านไม่ชอบ”

7)ข้อเท็จจริงจึงชัดเจนว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ กำกับดูแลงานด้านความมั่นคง เป็นคนพูด ส่วนจะพูดด้วยท่าทีแบบใด ก็ต้องย้อนกลับไปดู “ภาพเคลื่อนไหว” ประกอบด้วย เพื่อจะได้เห็น “บริบท และน้ำเสียง” รวมถึงสีหน้าท่าทีขณะพูด ว่าพูดเล่นๆ กับนักข่าวหรืออย่างไร เพราะลำพัง “ตัวอักษร” มันบอกไม่ได้สมบูรณ์

8)ส่วน พลเอกประยุทธ์ ได้กล่าวถึงกรณีที่มีหน่วยความมั่นคงติดตามความเคลื่อนไหวและถ่ายภาพของ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขณะกำลังพักผ่อนที่ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน (ซึ่งเป็นคนละเหตุการณ์กับที่นายวรชัย เหมะออกมาเรียกร้อง และ พล.อ.ประวิตร ออกมาตอบคำถามสื่อ) ว่า หน่วยงานความมั่นคงไปดูแลความปลอดภัยให้กับนางสาวยิ่งลักษณ์ แต่สั่งการไปแล้วว่า เจ้าหน้าที่ไม่ต้องไปถ่ายรูปอะไรมากมาย เพราะอาจจะถูกมองว่าไม่มีความเป็นส่วนตัวได้ ดังนั้น จึงต้องขออภัยด้วย แต่ถึงอย่างไรก็ต้องมีคนไปคอยดูแล เพราะหากเกิดอะไรขึ้นมาอาจจะมาโทษรัฐบาลได้ว่าไม่ดูแลเรื่องความปลอดภัย

9)ในกรณีนี้ จึงสะท้อนว่า พล.อ.ประยุทธ์ทราบว่า การส่งเจ้าหน้าที่ติดตามความเคลื่อนไหวของยิ่งลักษณ์ มีความอ่อนไหว สุ่มเสี่ยงต่อการเกินเลยไปถึงขั้นละเมิดสิทธิ และได้ขออภัยแล้ว พร้อมๆ กับชี้ให้มองอีกด้าน คือ ด้านความปลอดภัย ซึ่งก็ควรมอง เพราะหลังรัฐประหารใหม่ๆ กระแสเกลียดชังยิ่งลักษณ์มีอยู่จริง ยังไม่รวมว่า หากเกิดเหตุเภทภัยใดๆ ขึ้นมา ไม่ว่าจะโดยฝ่ายไหน คนที่ต้องถูกรุมด่า รุมประณาม และเรียกร้องให้รับผิดชอบก็คือ คสช. นั่นเอง ดังนั้น การงดการติดตามในช่วงเวลานั้นคงทำไม่ได้ แต่การปรับวิธีเพื่อยังคงไว้ซึ่งการให้เกียรติกัน ทั้งในฐานะอดีตนายกฯ และมนุษย์คนหนึ่ง ทำได้และพึงทำ

10)ด้านพลโทสรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในที่ประชุม ครม. ว่า พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯได้ชี้แจงว่า เป็นความตั้งใจดีของเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงที่ต้องคอยดูแลคนที่เป็นอดีตผู้นำประเทศไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหน โดยยืนยันว่าไม่ได้คิดเป็นอื่น แต่การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่อาจไม่แนบเนียน จนทำให้นางสาวยิ่งลักษณ์รู้สึกเสียความเป็นส่วนตัว ซึ่งพลเอกประวิตร ได้รับเรื่องไปทำความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่ เพื่อให้คำนึงถึงความเป็นส่วนตัวของอดีตนายกฯแล้ว

ดังนั้น เมื่อประมวลข้อมูลทั้งหมดดังที่ไล่เลียงมา จะเห็นได้ว่า พานทองแท้สื่อสารแบบ “จับแพะชนแกะ”หรืออย่างมั่วๆ เพื่อประโยชน์ด้านการ “ทิ่มแทง คสช.” อันอาจเป็น “การบำบัดความใคร่ทางการเมือง” เพื่อ “จุดสุดยอด” ส่วนตัว และพวกพ้องเท่านั้นเอง มิได้สะท้อน “ปัญญา” ออกมาให้เห็น การหาปัญญาในข้อความนี้ของพานทองแท้จึงนับว่าเป็นเรื่องหายาก

นั่นรวมไปถึงการพูดเรื่องรถกันกระสุนกับรถกระบะในตอนท้ายด้วย เพราะเป็นคนละเรื่อง คนละตรรกะอีกเช่นกัน เนื่องจากนายกฯ นั่งรถกันกระสุนกันทั้งนั้น นั่นไม่ใช่รถส่วนตัว แต่เป็นรถของตำแหน่ง ส่วนเรื่องรถกระบะ เป็นมาตรการด้านการบังคับใช้กฎหมายเพื่อความปลอดภัยของประชาชนเอง ชอบหรือไม่ชอบ ทำได้หรือทำไม่ได้ ทางออกควรเป็นอย่างไร ต้องใช้ “ปัญญา” หาคำตอบร่วมกัน

แต่เอาเข้าจริงๆ มีใครเคยยืนยันไหม ว่าข้อความทั้งหลายที่สื่อสารในชื่อ “พานทองแท้” นั้น เขาเป็นคนคิด คนเขียน ใครเคยเห็นพานทองแท้พูดอะไรยาวๆ แสดงความรู้ ความมีปัญญา การใช้ภาษา การครองสติได้เหมือนคนปกติทั่วไปให้เป็นที่ประจักษ์บ้าง และเมื่อถูกตั้งคำถามเรื่องนี้ พานทองแท้กับบริวารไม่เคยออกมาปฏิเสธหรือตอบโต้เลย

ช่างจ้อขนาดนี้ มี “วอยซ์ทีวี” เป็นของตัวเอง ทำไมไม่เคยไปออกรายการไหนสักรายการ

จึงเป็นปริศนาต่อไปว่า พานทองแท้คิดเอง เขียนเอง หรือยกชื่อให้บริวารและเครือข่ายใช้ เพื่อประโยชน์ทางความสนใจและประโยชน์ทางการเมืองเท่านั้น!!