จำกันได้ไหม ในยุทธศาสตร์ “แตกแบงก์พันเป็นแบงก์ร้อย” ทักษิณ ชินวัตร วางเกม ให้มีพรรคคนรุ่นใหม่ชื่อพรรค “ไทยรักษาชาติ” เปิดตลาดวัยรุ่น คนรุ่นใหม่ คู่ไปกับหน้าร้านเดิม คือ พรรคเพื่อไทย ที่เป็น สส.เก่า คนแก่ บริวารบ้านจันทร์ส่องหล้าชนิดออกนอกหน้า และแกนนำ นปช. ที่ “ช้ำ” ทางการเมือง เพราะ “ทักษิณโกง”
ทว่า ความเหิมเกริมที่จะโชว์ “คอนเนคชั่น”ด้วยการเสนอชื่อ ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ก็ทำให้พรรคดังกล่าว “ตายก่อนคลอด”เพราะกระทำการผิดรัฐธรรมนูญ พรรคถูกยุบ กรรมการบริหารพรรคถูกตัดสิทธิทางการเมือง
ในเวลานั้น มีพรรคของ “คนรุ่นใหม่” อีกพรรคหนึ่งเกิดขึ้นด้วย คือ “พรรคอนาคตใหม่” ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กับ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เล่นบท “แหกทุกกรอบ” ล้างความเก่า ถึงขั้นประกาศว่า “ภารกิจ 2475 ยังไม่จบ”
ในที่สุด พรรคอนาคตใหม่ก็จบลงด้วยการถูกยุบพรรคจากเหตุ “ธุรกรรมอำพราง” ในการบริจาคเงินเกินวงเงินที่กฎหมายกำหนด ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แต่กระทำการลับ ลวง พราง ว่าเป็นการ“ปล่อยกู้” ให้แก่พรรค จากนั้น “พรรคก้าวไกล” จึงเป็นอวตารต่อมา และถูกยุบอีกด้วยพฤติกรรมล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเกิด “พรรคประชาชน” เป็นอวตารที่สาม
“พรรคประชาชน” ขณะนี้ เป็นพรรคฝ่ายค้าน แต่พฤติกรรมการทำหน้าที่ กลับไม่เน้นการค้านรัฐบาลพรรคเพื่อไทยของนายทักษิณ ชินวัตร ที่ส่งลูกสาวผู้เป็น “กล่องดวงใจ” นาม “อุ๊งอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร มาเป็นหัวหน้าพรรค และนายกรัฐมนตรีหนักไปทาง “ค้านสถาบันพระมหากษัตริย์” และ“ค้านกองทัพ”
ขนาดจะเปลี่ยนชื่อจากสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ เป็นสำนักงานพระคลังข้างที่ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ยังอภิปรายเสียยาวเหยียด เพื่อจะตบท้ายว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ต้อง “ปกเกล้า” มิใช่ “ปกครอง”
อะไรทำให้พรรคส้ม เลือกที่จะเป็นฝ่ายค้านแบบ “หยิกแกมหยอก” รัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์ของคุณพ่อทักษิณขณะที่เป็นค้านแบบไล่บี้ บดขยี้ “สถาบันและกองทัพ”
นอกจากพื้นอุปนิสัยหรือสันดานเดิมที่ดูจะ“ไม่เอาเจ้า” แล้ว ข่าวลือเรื่อง “ดีลฮ่องกง” ระหว่าง “นายทักษิณ ชินวัตร” กับ “นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” นักธุรกิจการเมืองของสองพรรค ดูจะมีเค้า
เพราะจากยุค รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน จนถึงยุครัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร มีเรื่องไม่ชอบมาพากล ไม่เป็นไปตามกฎหมาย ไม่เดินไปตามหลักนิติรัฐนิติธรรมมากมาย พรรคส้มซึ่งแสดงบทคนรักความเป็นธรรม คนต้องเท่ากัน กลับเพิกเฉย ละเลย และตรวจสอบแค่ “หยิกแก้มเล่น” เท่านั้น
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือเรื่อง “ป่วยทิพย์ ชั้น 14” ของนายทักษิณ ชินวัตร ที่น่าจะเป็น “พฤติกรรมอำพราง” เป็นการใช้อำนาจรัฐเอื้อประโยชน์ให้ไม่ต้องนอนคุก ได้นอนในห้องวีไอพีของโรงพยาบาลตำรวจแบบสบายๆ และได้รับการพักโทษ ชนิดน่างุนงงสงสัยเป็นที่สุด
แต่พรรคส้มก็ไม่เคยไล่บี้ แฉ หรือขุดคุ้ยตรวจสอบในเรื่องนี้เลย
ขนาดหมอเก่ง วาโย อัศวรุ่งเรือง สส.คนหนึ่งของพรรคอภิปรายในสภา ถึงพิรุธของการป่วย การส่งตัว การตรวจ และการรักษา ตลอดจนการได้อยู่ในห้องวีไอพีที่ผิดหลักเกณฑ์อย่างละเอียดยิบดีงาม เป็นที่ชื่นชมของสังคม แต่หัวหน้าพรรคก้าวไกล-ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรในขณะนั้นคือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพวก ก็หาได้ดำเนินการเอาผิด ด้วยการยื่นเรื่องให้องค์กรอิสระตรวจสอบไม่
พรรคนี้จึงเป็นพรรคที่ไม่ควรได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชน ไม่ว่าจะวัยใด เพศใดก็ตาม ควรจับความ “ไม่เอาจริงเอาจัง” และเจ้าเล่ห์เพทุบาย ให้คาหนังคาเขา
1) มีคนในพรรค กระทำการล่วงละเมิดทางเพศ หลายกรณี พรรคสีส้ม ไม่ว่าจะอยู่ในชื่อใด ก็มิได้มีความมุ่งมั่นที่จะตรวจสอบให้กระจ่าง และเอาผิดให้ถึงที่สุด เป็นเพียงแต่ขับออกพ้นพรรค แล้วจบไปหรือบางราย กว่าจะขับออกพ้นพรรค ก็ต้องให้สังคมไล่บี้ ตำหนิ ประณาม ตั้งคำถามถึงมาตรฐานทางจริยธรรมของพรรค เช่น กรณีนายไชยามพวานมั่นเพียรจิตต์ เป็นต้น
2) กรณีขับ นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ออกจากพรรค ก็ไม่สามารถอ้างอิงได้ว่า นายปดิพัทธ์ กระทำการผิดกฎ ผิดระเบียบ ผิดข้อบังคับพรรคข้อใดจนมีความผิดร้ายแรงถึงขั้นต้องขับออกจากพรรค กรณีนี้เป็นตัวอย่าง “ความฉ้อฉล” ที่ดีที่สุดว่า ถ้าถึงเวลาต้องการอำนาจ ต้องการตำแหน่ง พรรคคนรุ่นใหม่พรรคนี้ ก็พร้อมที่จะ “ซิกแซก” หาวิธีให้ได้มาซึ่งอำนาจ ไม่ต่างนักนักการเมืองและพรรคการเมืองเก่าๆ เลย พวกเขาเพียงแค่ต้องการให้นายพิธาลิ้มเจริญรัตน์ ดำรงตำแหน่ง “ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร” และต้องการให้นายปดิพัทธ์ ซึ่งเป็นคนของเขาดำรงตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎรต่อไป แต่หากนายปดิพัทธ์ยังเป็นสมาชิกพรรคก้าวไกล นายพิธาก็จะไม่ได้เป็นผู้นำฝ่ายค้านฯ จึงเกิดพิธีกรรมจอมปลอม ฉ้อฉล ขับนายปดิพัทธ์ออกจากพรรค เพื่อไปหาพรรคใหม่สังกัด และครองเก้าอี้รองประธานสภาต่อไปเช่นเดียวกับนายพิธา ก็ได้เป็นผู้นำฝ่ายค้านฯ สมความประสงค์ ถ้าพฤติกรรมเช่นนี้ กระทำโดยพรรคอื่น และทำให้พรรคส้มเสียโอกาส พวกเขาคงผลิตวาทกรรมและรุมประณามชนิดไม่มีวันเลิกราเป็นแน่แท้แต่พอตัวเองทำ กลับหน้าด้านหน้าตึง นิ่ง และกองเชียร์ก็ละเลยที่จะวิพากษ์วิจารณ์เช่นเดียวกัน เป็นพวกศีลเสมอกันนั่นเอง
3) ครั้นเกิดการชุมนุมขับไล่นายกฯ จากกรณีคลิปหลุดเจรจากับฮุนเซน ซึ่งถูกประณามว่าเป็นพฤติกรรม “ขายชาติ” พรรคแดง คือพรรคเพื่อไทยออกมาบิดประเด็นว่า ม็อบกวักมือเรียกทหารมาทำรัฐประหาร พรรคส้มก็รีบมีปฏิบัติการที่สอดคล้องกับพรรคแดงทันที
4) เพจ The Publisher นำเสนอเรื่อง“พรรคประชาชนกับข้อกังขา” ตรวจสอบ “อำนาจ” หรือแค่รอ “วันได้อำนาจ?” ความว่า...
ในขณะที่พรรคประชาชนกล่าวหาม็อบรวมพลังแผ่นดินฯ “ปูทางรัฐประหาร” แต่แถลงการณ์ข้อเรียกร้องจากเวทีนั้นกลับชัดเจนว่า ไม่ใช่รัฐประหาร แต่...
• ให้ “นายกฯ ลาออก”
• เรียกร้อง “พรรคร่วมถอนตัว”
• ร่วมให้กำลังใจกองทัพ “ปกป้องอธิปไตยของชาติ”
คำถามคือ-แล้ว “พรรคประชาชน” ในฐานะฝ่ายค้าน ได้ทำหน้าที่ตัวเองเต็มที่แล้วหรือยัง?
- พรรคภูมิใจไทยเปิดเกมซักฟอก (อภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ แพทองธาร) กรณีคลิปหลุด
- พรรคประชาชนกลับลังเล บอก “ถ้าซักฟอกจะยุบสภาไม่ได้”
- กรณีตั๋ว PN เลี่ยงภาษีของแพทองธาร พรรคประชาชนไม่ยื่นศาลรธน. อ้างไม่เชื่อกลไกศาลฯ
แต่ย้อนดู…
พรรคเดียวกัน เคยร่วมกับเพื่อไทยยื่นศาลรธน.สอบ ศักดิ์สยาม ชิดชอบ
และมีแนวคิดจะยื่นศาลรัฐธรรมนูญกรณีพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯ โยกงบฯ ลงพื้นที่ตัวเอง
สุดท้ายคำถามจึงย้อนกลับไปที่พรรคประชาชน ว่า : ถ้ายื่นศาลรธน. เพื่อตรวจสอบคนอื่นได้ ทำไมต้อง “เว้นแพทองธาร”?
หรือเป็นเพราะผู้นำจิตวิญญาณของพรรคธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เคยบอกไว้ว่า “…พรรคเพื่อไทยคือมิตร และทางออกที่จะทำให้ประเทศไทยเจริญก้าวหน้าต้องมีสองพรรคนี้…”
“ส้มจึงต้องแบกแดง”
นี่คือคำถามที่เริ่มดังมากขึ้นในสังคม…และพรรคประชาชนควรให้ความกระจ่างกับสังคมว่า…
ตกลง “พรรคประชาชน” จะตรวจสอบอำนาจ-หรือเป็นแค่พรรค “รอวันได้อำนาจ”
จิตกร บุษบา
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี