ความจริงในเหตุการณ์วันที่ 7 ต.ค. 2551 ตั้งแต่เช้าตรู่รอบๆ บริเวณรัฐสภาจนถึงค่ำมืดหน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาล เป็นอย่างไรกันแน่ ?
ลองกลับไปอ่านคำพิพากษาศาลปกครองกลาง เมื่อวันที่ 5 ต.ค. 2555 คดีหมายเลขดำที่ 1569/2552
(นางสิริกาญจน์ พานพิทักษ์ ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองกลางเจ้าของสำนวนและองค์คณะ) มีคำสั่งให้ สตช.และสำนักนายกฯ ชดใช้แก่ผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กว่า 250 ราย
ปรากฏประเด็นข้อเท็จจริงที่น่าสนใจ เช่น
1. ข้อเท็จจริงจากพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุม และฝ่ายที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการชุมนุม ตามรายงานตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2551 ยืนยันสอดคล้องต้องกันว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ตั้งแต่เวลา 05.00-24.00 น. ได้นำอาวุธปืนวัตถุระเบิดชนิดต่างๆ ซึ่งมีอันตรายโดยสภาพมาใช้ในการสลายการชุมนุม โดยไม่ได้ปฏิบัติตามหลักมาตรฐานสากล ที่ต้องเริ่มจากการเจรจาการต่อรอง หากไม่สำเร็จ จึงจะใช้มาตรการสลายการชุมนุมจากเบาไปหาหนัก โดยใช้โล่กำบังผลักดันผู้ชุมนุม ถ้าไม่ได้ผลให้ใช้น้ำฉีดจากรถดับเพลิงเพื่อเปิดทาง หากไม่ได้ผล จึงให้ใช้แก๊สน้ำตา ซึ่งเจ้าหน้าที่จะต้องประกาศถึงขั้นตอนดังกล่าวให้ผู้ชุมนุมทราบก่อน
2. จากคำให้การของผู้ชุมนุม ผู้ฟ้องคดี ผู้ร้องสอด กลุ่มสื่อมวลชน เจ้าหน้าที่พยาบาลและทีมแพทย์สนามยืนยันว่า ไม่ได้ยินเสียงประกาศแจ้งเตือนแต่อย่างใด และไม่ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้มาตรการการควบคุมผู้ชุมนุมจากเบาไปหาหนักตามแผนที่วางไว้
3. น.อ.พงษ์ศักดิ์ เกื้อการุณ ผู้อำนวยการกองวิทยาการ กรมสรรพาวุธทหารอากาศ ยืนยันว่า การใช้แก๊สน้ำตาชนิดขว้าง ต้องขว้างให้ตกจากฝูงชนมากกว่า 3 เมตร ในทิศเหนือลม ส่วนการยิงควรใช้มุมยิง 25-45 องศา ให้ห่างจากฝูงชน 60-90 เมตร ซึ่งทั้งสองวิธีไม่ควรเล็งไปยังบุคคลโดยตรง
แต่ข้อเท็จจริงจากพยานกลุ่มต่างๆ ยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจยิงและขว้างแก๊สน้ำตาไปยังกลุ่มผู้ชุมนุมโดยตรง และยิงใส่เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์และรถพยาบาลที่มีเครื่องหมายกาชาดไทย ที่สามารถมองเห็นได้ไกลถึง 100 เมตร
4. ผลการทดสอบขว้างแก๊สน้ำตาที่ใช้ในการสลายการชุมนุม พบว่าทำให้พื้นสนามเป็นหลุม ขนาด 8x8x3 เซนติเมตร และเป็นหลุมขนาด 16x16x8 เซนติเมตร และพบสารอาร์ดีเอ็กซ์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการฉีกทำลายล้าง หากเกิดกับร่างกายมนุษย์ย่อมฉีกขาดและทำลายอวัยวะได้
5. พบว่า เจ้าหน้าที่มีทัศนคติในทางลบกับผู้ชุมนุม ผ่านคำพูดในการเข้าสลายการชุมนุมว่า
“มันอยู่ได้ ให้มันอยู่ไป ยิงเข้าไป เดินเข้าไป ลุยเข้าไป”
“บาดแผลแค่นี้ไม่ตายหรอก”
แสดงให้เห็นว่า แผนกรกฏ 2548 ที่นำมาใช้เป็นเพียงการอ้างหลักตามมาตรฐานสากล แต่การปฏิบัติงานจริงไม่ได้เป็นไปตามหลักการให้ความเมตตาผู้มีความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างตามที่เขียนแผนปฏิบัติการไว้
6. ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นที่ยุติว่า รัฐสภาปิดการประชุมตั้งแต่เวลา 11.30 น. โดย สส.และคณะรัฐมนตรี ออกจากสภาเสร็จสิ้นตั้งแต่เวลา18.00 น. แล้ว
กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะสลายการชุมนุมในช่วงเวลา 18.00-24.00 น. แต่อย่างใด
และเมื่อพิเคราะห์ผลการพิจารณาของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนและความเห็นของคณะกรรมการป้องกันละปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จึงเห็นว่า การสลายการชุมนุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เป็นการกระทำโดยจงใจ กระทำต่อผู้อื่นโดยผิดกฎหมาย เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกายต่อผู้ชุมนุม
7. ข้ออ้างที่ระบุว่า ตำรวจใช้แก๊สน้ำตาเพราะผู้ชุมนุมใช้หนังสติ๊กยิงด้วยลูกแก้ว กระบอง ธงด้ามเหล็ก ไม้เบสบอล ทำร้ายเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บหลายนายนั้น
ศาลปกครองกลาง เห็นว่า การใช้แก๊สน้ำตายิงและขว้างของเจ้าหน้าที่และการใช้อาวุธปืนชนิดต่างๆ ยิงทำร้ายผู้ร่วมชุมนุม ได้รับอันตรายถึงชีวิตและบาดเจ็บรวม 1,003 คน ส่วนเจ้าหน้าตำรวจได้รับบาดเจ็บเพียง 78 นาย โดยสาหัส 9 นาย ขณะที่ข้อเท็จจริงพบว่าในวันดังกล่าวมีผู้ชุมนุมหลายหมื่นคน หากผู้ชุมนุมถูกปลุกระดมให้ทำร้ายหรือทำลายสถานที่ราชการ หรือบุกจับ สส.และ ครม.ตามที่อ้าง ลำพังกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเพียง 2,500 นาย คงไม่อาจต้านทานได้ ดังนั้น ข้ออ้างว่ามีการทำลายสถานที่ราชการบุกจับตัวประกันจึงเป็นเพียงข้ออ้าง เพื่อให้เหมาะสมกับเหตุสลายการชุมนุมที่ไม่ชอบด้วยรูปแบบ ขั้นตอนความแบบกรกฎาคม 2548
8. คำพิพากษาศาลปกครองกลางยังชี้ไว้ด้วยว่า พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. พล.ต.อ.วิโรจน์ พหลเวชช์ และ พล.ต.ท.สุชาติเหมือนแก้ว ต่างยืนยันสอดคล้องกันว่า นายสมชาย วงษ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น และ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี ขณะนั้นประชุม ครม.และมีมติในคืนวันที่ 6 ตุลาคม 2551 ว่าจะต้องประชุมรัฐสภา ในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 และสั่งการให้ผลักดันผู้ร่วมชุมนุมที่ปิดล้อมรัฐสภาให้ออกไป เพื่อจะให้มีการแถลงนโยบายในวันดังกล่าวให้ได้
ในการสลายการชุมนุม เกิดตั้งแต่เช้าถึงค่ำ รวม 4 ครั้ง แต่นายสมชาย นายกรัฐมนตรี ก็ไม่ได้ให้ความใส่ใจ แม้จะประชุมสภาเสร็จในเวลา 11.30 น. เจ้าหน้าที่ก็ยังคงใช้กำลังและอาวุธในการสลายการชุมนุม
9. คดีดังกล่าว ศาลปกครองกลางจึงให้หน่วยงานต้นสังกัดข้างต้น ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้ฟ้อง ซึ่งเป็นผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ เป็นรายๆ ไป รวมกว่า 250 ราย ตั้งแต่รายละหลักพันบาท ไปจนถึง 5 ล้านกว่าบาท
10. ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย
มั่นคงแน่นอนยิ่งกว่ากฎหมาย คือกฎแห่งกรรม
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี