ก็ต้องยอมรับความจริงกันอย่างหนึ่งว่า คดีฆ่าเสือดำเป็นคดีที่กระทบต่อสังคมและความรู้สึกนึกคิดของประชาชนเป็นวงกว้าง ถึงขนาดนักการเมืองบางพวกหยิบขึ้นเป็นประเด็นขับไล่รัฐบาล โดยเปรียบเทียบกับคดีล่าสัตว์ในพื้นที่เดียวกันในยุครัฐบาลถนอม-ประภาส

มีการชี้ให้เห็นถึงลักษณะคดีที่มีการใช้อิทธิพล อำนาจรัฐ อำนาจเงิน และการตั้งตนอยู่เหนือกฎหมาย กระทั่งชี้ให้เห็นว่าเป็นปรากฏการณ์ลางร้าย เช่นเดียวกับการที่รัฐบาลถนอม-ประภาส ล้มครืนลงและต้องหนีไปต่างประเทศ

เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะความรู้สึกว่า เป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรม ความรู้สึกที่มีผู้ตั้งตนอยู่เหนือกฎหมาย และความรู้สึกที่ว่ามีการปฏิบัติต่อผู้มีอำนาจอิทธิพลอย่างหนึ่งต่อคนจนอีกอย่างหนึ่ง หรือความรู้สึกที่ต่อต้านการใช้อำนาจข่มแหงรังแกผู้น้อยอีกอย่างหนึ่งนั้น เป็นเรื่องล่อแหลมต่อความรู้สึก และก่อเป็นกระแสวงกว้างได้ง่าย

เปรียบได้กับประกายไฟน้อยๆ เมื่อลุกขึ้นในพื้นที่ที่มีเชื้อไฟอย่างดีและกระแสลมแรงกล้าแล้ว ก็จะไหม้ลามทุ่งได้ฉันนั้น

ก็ต้องเข้าใจกันก่อนว่า คนเรานั้นมีน้ำใจเมตตาต่อสัตว์ ถึงกับมีกฎหมายคุ้มครองสัตว์ และยิ่งเป็นสัตว์ที่ใกล้จะสูญพันธุ์ที่มีการกำหนดเขตอนุรักษ์ไว้เป็นการเฉพาะแล้ว คนทั้งหลายก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่หวงห้าม ใครฝ่าฝืนเข้าไปล่าหรือฆ่าสัตว์ก็ล่อแหลมต่อความรู้สึกดังกล่าวของประชาชน

เรื่องการฆ่าเสือดำเกิดขึ้นแล้วเป็นข่าวครึกโครม มีภาพทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว ตลอดจนมีเสียงที่เป็นพยานหลักฐานแน่นหนาชัดเจนว่ามีคณะเข้าไปในเขตหวงห้ามและได้ฆ่าเสือดำ มีการชำแหละกันในพื้นที่นั้น มีการหมักหนังเพื่อจะนำกลับไป มีการนำเนื้อบางส่วนเอามาปรุงเป็นอาหาร

และเมื่อประกอบเข้ากับผู้ที่เกี่ยวข้องมีชื่อเสียงและบทบาทที่คนทั้งหลายให้ความสนใจอยู่แล้ว โดยเฉพาะการได้งานรับเหมาจากรัฐวงเงินถึง 300,000 ล้านบาท ในระยะช่วงเวลา 3 ปีนั้น คนทั้งหลายก็รู้ว่าเป็นคนระดับไหนและมีเครือข่ายอย่างไร จึงยิ่งเกิดความสนใจมากยิ่งขึ้น

ดังนั้นจึงเกิดเสียงเรียกร้องให้ดำเนินคดีอย่างตรงไปตรงมา และใช้มาตรฐานอย่างเดียวกันกับประชาชนทั่วไปไม่ว่าจะเป็นคดีตายายเก็บเห็ดหรือคดีฆ่าหมีควาย ซึ่งล้วนเข้าคุกเข้าตะรางกันทั้งหมด

แต่คดีฆ่าเสือดำนั้น กลับปรากฏว่ามีอาการแปลกๆเกิดขึ้น โดยเฉพาะการสอบสวนผู้ต้องหาและผู้ที่ร่วมอยู่กับคณะผู้ต้องหา เพราะปรากฏว่าได้มีการปล่อยตัวไป และไม่ได้มาตามนัดจนทุกวันนี้

ในอีกทางหนึ่งก็มีข่าวคราวแปลกๆ เกิดขึ้น โดยเฉพาะข่าวที่เปิดรูปคดีใหม่ในลักษณะที่ส่อให้เห็นว่า กรณีอาจเป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่ฆ่าสัตว์เสียเอง แล้วเอาไปขายให้กับร้านอาหาร จากนั้นก็มีผู้มาซื้อเอาไปทำอาหารจนกระทั่งเกิดเป็นเหตุขึ้น

ข่าวคราวที่ออกไปลักษณะนี้เหมือนกับการราดน้ำมันเข้าสู่กองไฟ และมีการฉวยโอกาสโหมไฟนั้นเข้าใส่รัฐบาลซึ่งเป็นท่วงทีทางการเมืองอยู่แล้ว แต่ในขณะเดียวกัน ก็ต้องเห็นความจริงว่าข่าวคราวแบบนี้หากไม่มีมูลแล้วไหนเลยจะเกิดขึ้นได้ และถึงวันนี้ก็ไม่มีการปฏิเสธว่ารูปคดีจะไปในทางนี้

ล่าสุดเจ้าหน้าที่ที่ดูแลรักษาพื้นที่ก็ออกมาแฉว่ารูปเรื่องรายนี้กำลังมีการพลิกคดีกัน และในที่สุดเจ้าหน้าที่ที่รักษาพื้นที่ก็อาจกลายเป็นผู้ต้องหาเสียเอง ซึ่งยิ่งกระทบกระเทือนใจประชาชนหนักเข้าไปอีก

ราวกับว่ามีมือที่มองไม่เห็นกำลังเล่นอยู่กับความรู้สึกของประชาชน โดยมีเป้าหมายโดยการล้มรัฐบาลนั่นแหละ แต่ก็น่าแปลกใจที่ผู้มีหน้าที่หลักในรัฐบาลโดยเฉพาะเจ้ากระทรวงที่เกี่ยวข้อง ไม่เคยแสดงท่าทีใดๆ ต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่ในสังกัดเลย

เมื่อประจวบเข้ากับการรายงานข่าวที่ว่า มีการถอนข้อหาเกี่ยวกับความผิดเรื่องการทารุณสัตว์ และข่าวเกี่ยวกับพยานหลักฐานว่าหลักฐานนั้นก็ไม่ชัด หลักฐานนี้ก็ไม่แน่แล้วคนทั้งหลายก็ย่อมเข้าใจได้ว่ากำลังมีความสนุกสนานเกิดขึ้นเกี่ยวกับเรื่องนี้

และก็คาดหมายล่วงหน้าได้ว่า ผลที่สุดก็อาจเป็นว่า“ไม่มีพยานหลักฐานที่ชี้ชัดว่า ใครเป็นคนฆ่าเสือ” ตามที่คนทั้งหลายคาดหมายกัน ดังนั้นขณะนี้ในโซเซียลมีเดียจึงมีการพาดหัวข่าวหรือแบนเน่อร์แพร่หลายว่า “กูว่าแล้ว”

หมายความว่า ในความรู้สึกหรือความคาดคิดของประชาชนนั้นรู้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่าคุกมีไว้ขังคนจน และในที่สุดเรื่องนี้ก็จะจบลงด้วยข้อสรุปว่าไม่มีหลักฐาน

เสือดำถูกฆ่าตายทั้งตัว มีคลิปภาพ คลิปเสียง จับกุมหนังเสือที่หมักไว้แล้ว รวมทั้งอวัยวะต่างๆ ครบถ้วนและผู้คนที่เกี่ยวข้องก็ปรากฏอยู่ในคลิปนั้นชัดเจน ป่านนี้แล้วหากผลสรุปว่าไม่มีหลักฐานก็คงจบ และใครจะจบในคุกหรือนอกคุกอีกไม่นานก็คงรู้กัน!