นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กล่าวถึง ตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ อยู่ที่ร้อยละ 4.8 ว่าเป็นเรื่องน่ายินดีที่เศรษฐกิจของประเทศเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอด 4 ปีที่ผ่านมา จากจุดต่ำสุดที่เคยติดลบตั้งแต่ก่อนปี 2557
พลโทสรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกรัฐบาล เปิดเผยเพิ่มเติมด้วยว่า “นายกฯ ระบุว่า เศรษฐกิจที่ขยายตัวนี้จะส่งผลให้เกิดการจ้างงาน มีเงินหมุนเวียนในระบบมากขึ้น ทำให้การค้าขายดีตามไปด้วย แต่ประชาชนอาจยังรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับอานิสงส์มากนัก ซึ่งรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจหรือคิดจะทอดทิ้งประชาชน กลับให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือดูแลผู้มีรายได้น้อยและชนชั้นกลางที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ”
บทความนี้ จะส่องเข้าไปดูในรายงานภาวะเศรษฐกิจไทย ที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2561 เพื่อสะท้อนถึง “ความจริงเศรษฐกิจไทย” ในด้านที่นายกรัฐมนตรีและทีมเศรษฐกิจไม่ควรจะมองข้าม
ในตัวเลขภาพรวมที่สวยงาม มันมีความเจ็บปวดซ่อนอยู่
1. ตัวเลขจีดีพี (GDP) เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ เพราะมันคือตัวสะท้อนรายได้รวมของคนทั้งประเทศ
แต่ลำพังตัวเลขจีดีพีอย่างเดียว ไม่เพียงพอ จะต้องส่องเข้าไปดูไส้ในด้วยว่า รายได้ของคนกลุ่มไหนเพิ่มขึ้น-ลดลง
จึงจะประเมินสภาวการณ์และแก้ปัญหาเศรษฐกิจตรงจุด
2. เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี 2561 ขยายตัวร้อยละ 4.8 เป็นเรื่องน่ายินดี
แต่ความจริงปรากฏด้วยว่า รายได้รวมของเกษตรกรไทยกลับลดลงร้อยละ 4.8
สวนทางกันอย่างสิ้นเชิง
ตรงกันข้ามราวฟ้ากับเหว
3. รายงานของสภาพัฒน์ฯ ระบุถึง “ภาคเกษตร” ว่า ดัชนีราคาสินค้าเกษตรโดยรวม ปรับตัวลดลง ร้อยละ 12.3 ตามการลดลงของราคาสินค้าบางรายการ
หมายความว่า ระดับราคาของสินค้าเกษตรโดยภาพรวม ลดลง - 12.3%
ดัชนีราคาสินค้าเกษตรสำคัญที่ลดลง ได้แก่
(1) ยางพารา เนื่องจากผลผลิตออกสู่ตลาดมากและสต๊อกยางพาราในตลาดโลกอยู่ในเกณฑ์สูง
(2) ปาล์มน้ำมัน เนื่องจากผลผลิตออกสู่ตลาดมาก และสต๊อกปาล์มน้ำมันอยู่ในเกณฑ์สูง
และ (3) สุกร เนื่องจากผลผลิตออกสู่ตลาดมากกว่าความต้องการของผู้บริโภค
การลดลงของดัชนีราคาสินค้าเกษตรส่งผลให้ดัชนีรายได้เกษตรกรในไตรมาสนี้ลดลงร้อยละ 4.8
หมายความว่า รายได้โดยรวมของเกษตรกรไทยลดลง - 4.8%
นี่คือข้อมูลจากรายงานของสภาพัฒน์ เอง
4. แม้ดัชนีราคาสินค้าเกษตรหลายรายการ จะปรับตัวเพิ่มขึ้น เช่น ราคาข้าวเปลือก (ร้อยละ 14.2) ราคามันสำปะหลัง (ร้อยละ 43.8) และราคาข้าวโพด (ร้อยละ29.5) เป็นต้น จะเป็นข่าวดีสำหรับเกษตรกรกลุ่มนี้
แต่พูดให้เห็นภาพง่ายๆ คือ เกษตรกรที่ปลูกยางพารา ปาล์มน้ำมัน เลี้ยงสุกร ซึ่งจะต้องซื้อข้าวกิน ซื้อเครื่องอุปโภคบริโภคอื่นๆ เดือดร้อนหนักทั้งขึ้นทั้งล่อง เพราะในขณะที่ตนเองมีรายได้ลดลง แต่กลับต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้นสำหรับค่าครองชีพ ไม่ว่าจะเป็น ค่าน้ำมัน ค่าก๊าซหุงต้ม ค่าข้าว ค่าของกินของใช้ ฯลฯ
5. นี่คือความจริงอีกด้านที่ควรให้ความสำคัญเร่งด่วนที่สุด
หากว่ารัฐบาลจะ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”
ก็ควรจะต้องหามาตรการพิเศษ เพิ่มดูแลกลุ่มคนที่มีรายได้ลดลงสวนทางกับภาพรวมของประเทศในเวลานี้โดยด่วนที่สุด เพราะมีข้อมูลข้อเท็จจริงของสภาพัฒน์ ยืนยันเป็นที่ประจักษ์ ไม่ต้องไปกลัวจะถูกครหาว่าทำนโยบายประชานิยม
6. พิจารณาฐานะทางการเงินการคลังของรัฐบาลปัจจุบัน ก็ไม่ขี้เหร่
ในไตรมาสที่สองของปีงบประมาณ 2561 (มกราคม - มีนาคม 2561) รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 527,422 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 5.5 และสูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ ร้อยละ 2.8
ที่สำคัญ เป็นผลมาจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มได้มากขึ้นร้อยละ 5.1 ซึ่งสะท้อนว่าเกิดการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการบริโภคภายในประเทศ และมูลค่าการนำเข้าสินค้า ยิ่งกว่านั้น ยังจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.8 สะท้อนว่าผลประกอบการภาคธุรกิจปรับตัวดีขึ้น การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตรถยนต์ก็เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 27.4 สอดคล้องกับการขยายตัวต่อเนื่องของปริมาณการผลิตรถยนต์ภายในประเทศ
โดยสรุป ครึ่งปีแรกของปีงบประมาณ 2561 รัฐบาลบิ๊กตู่จัดเก็บรายได้สุทธิ 1,074,964 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 และสูงกว่าประมาณการร้อยละ 3.7
ฐานะเงินคงคลัง ณ สิ้นไตรมาสที่สองของปีงบประมาณ 2561 อยู่ที่ 262,555 ล้านบาท
ณ สิ้นไตรมาสแรกของปี 2561 ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลในระดับสูง 17.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (539.7 พันล้านบาท) สูงกว่าไตรมาสเดียวกันของปีก่อน อันเป็นผลมาจากการเกินดุลการค้า 6.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ. และการเกินดุลบริการ
เงินสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2561 อยู่ที่ 215.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (และมี net forward
position อีก 35.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) คิดเป็นประมาณ 3.5 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น และเทียบเท่ามูลค่าการ
นำเข้า 11.7 เดือน
เรียกว่า ความมั่นคงเศรษฐกิจมหภาคพื้นฐานดูแน่นปึ้ก
ทั้งหมดนี้ ชี้ไปในทางที่ว่า รัฐบาล คสช. ไม่ควรจะไปหว่านเงินไปในต่างจังหวัดแบบไม่เจาะจงกลุ่มเป้าหมาย แต่ควรหันมาเจาะจงไปที่กลุ่มภาคเกษตรซึ่งถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันโดยตรง
ขอให้กลับไปดูว่า กลุ่มไหนรายได้ลดลง 4.8% สวนทางกับรายได้ภาพรวมที่โตขึ้น 4.8%
7. ถามว่า จะรอให้กลไกตลาดกลับมาทำงาน แล้วกลุ่มที่กำลังแย่อยู่ จะฟื้นกลับมาเอง ได้หรือไม่?
ตอบได้ว่า ตายก่อนแน่ๆ
ยกตัวอย่าง กลุ่มปาล์มน้ำมัน
ตัวเลขล่าสุด จากบทวิเคราะห์ของสำนักวิจัยกรุงศรี เกี่ยวกับทิศทางแนวโน้มของอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม ยังคงสะท้อนภาพลบต่อไปในอนาคต 3 ปีข้างหน้า
ระบุว่า ความต้องการบริโภคน้ำมันปาล์มมีแนวโน้มเติบโตค่อยเป็นค่อยไป แต่อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มของไทยในระยะ 3 ปีข้างหน้า อาจเผชิญแรงกดดันจากอุปทานที่เพิ่มขึ้นจากการขยายพื้นที่ปลูกในช่วง 5-6 ปีก่อนหน้า ตามการส่งเสริมของรัฐ ประกอบกับปริมาณสต๊อกน้ำมันปาล์มที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ราคาน้ำมันปาล์มของไทยมีแนวโน้มลดลง ซึ่งอาจต้องใช้เวลาในการแก้ปัญหา จึงมีผลลดทอนอัตรากำไรของธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง โดยเฉพาะเกษตรกรปาล์มน้ำมันและโรงสกัดน้ำมันปาล์มดิบ
ผลผลิตปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม ทั้งในอินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทยสูง และสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลกพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ จะเป็นปัจจัยกดดันราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลก
นอกจากนี้ ยังคาดว่า ความต้องการใช้น้ำมันปาล์มดิบของอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ในประเทศจะเติบโตในระดับต่ำ เนื่องจากผลผลิตถั่วเหลืองโลกที่ยังอยู่ในระดับสูง จะมีผลให้ราคาน้ำมันถั่วเหลืองอยู่ในระดับใกล้เคียงราคาน้ำมันปาล์ม จึงไม่ช่วยหนุนความต้องการใช้น้ำมันปาล์มเพื่อทดแทนน้ำมันถั่วเหลืองเช่นในอดีต
อีกทั้งคาดว่าผู้ผลิตน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์จะไม่เร่งผลิต หลังมีการเร่งผลิตในปี 2560 จนมีผลให้ปริมาณสต๊อกน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์เพิ่มสูงเป็นประวัติการณ์
สำนักวิจัยกรุงศรี ระบุว่า จากการคาดการณ์อุปทานและอุปสงค์น้ำมันปาล์มในช่วงปี 2561-2563 อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มของไทยในระยะ 3 ปี ข้างหน้า อาจเผชิญแรงกดดันจากอุปทานที่เพิ่มขึ้น และมีแนวโน้มที่ราคาน้ำมันปาล์มของไทยจะลดลงต่อเนื่องในระยะยาว ผลผลิตปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มดิบของไทยที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจะเป็นปัจจัยกดดันราคาน้ำมันปาล์ม
ข้อมูลข้างต้น บ่งชี้ว่า หากปล่อยให้กลไกตลาดเป็นไปโดยลำพัง แน่นอนว่า ชาวสวนปาล์ม ซึ่งปัจจุบันอยู่ในกลุ่มที่รายได้
ลดลงสวนทางกับรายได้รวมของประเทศ โดยรายได้เหลือแค่ราวๆ 1 ใน 3 จากราคาที่ตกต่ำลง จะยิ่งเผชิญกับความเดือดร้อนมากขึ้นไปอีก หากไม่ตายก็คงจะคางเหลือง จึงจำเป็นที่รัฐบาล คสช.จะต้องมีมาตรการจำเพาะเจาะจงในการเข้าไปดูแลอย่างทันสถานการณ์
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี