ผู้อ่านหลายท่านคงจะพอจำคดี อื้อฉาวหนึ่งได้เมื่อประมาณ 7 ปีที่แล้ว ที่มีโจรขึ้นบ้านอดีตปลัดกระทรวง พอถูกตำรวจจับได้ก็สารภาพว่าตอนเข้าไปค้นของในบ้านพบเงินสดกว่า 1 พันล้านบาทเก็บไว้อยู่ในตู้ แต่ขนออกมาได้แค่ 200 กว่าล้านบาท ในขณะที่เจ้าของบ้านแจ้งความว่าทรัพย์สินหายไปแค่ 5 ล้านบาท เท่านั้น ซึ่งกรณีนี้นำไปสู่การตรวจสอบโดย ป.ป.ช. ว่าร่ำรวยผิดปกติและยึดทรัพย์นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคมผู้นี้
ในโลกแห่งความจริง คงจะไม่เกิดปาฏิหาริย์แบบนี้ขึ้นได้บ่อยนักที่สามารถช่วยให้ทั้งตำรวจและหน่วยงานต้านโกงอย่าง ป.ป.ช. สามารถทำงานได้โดยสะดวกแบบมีทั้งพยานและหลักฐานมากองตรงหน้า เพราะทั้งโจรและคนโกงก็มักจะมีเทคนิคซ่อนทรัพย์สินที่ขโมยมาอย่างแยบยล
ดังนั้น ถ้าตำรวจอยากจะจับโจรปีนขึ้นบ้านได้ นอกจากต้องรู้ว่าโจรมีวิธีเข้าบ้านกี่วิธี อะไรบ้างแล้ว ยังต้องรู้ด้วยว่าโจรเหล่านี้มักเอาของที่ขโมยมาได้ไปเก็บซ่อนไว้ที่ไหน เพื่อจะได้หาหลักฐานมามัดตัวได้ เช่นเดียวกัน ถ้าประชาชนอย่างพวกเราต้องการจะต้านการโกงให้ได้ นอกจากต้องรู้ว่าคนโกงเหล่านี้โกงกันอย่างไรบ้างแล้ว ก็ต้องรู้ว่าคนโกงชอบเอาทรัพย์สินที่ได้มาไปเก็บซ่อนไว้ที่ไหน และเก็บอย่างไร
บทความในสัปดาห์นี้จึงไปค้นคว้าและสรุปยุทธวิธีการซ่อนทรัพย์สินจากการโกงของเหล่าข้าราชการและนักการเมืองจอมโกงทั้งหลาย ซึ่งเราได้ไปพบว่าเคยมีผู้เขียนสรุปไว้ให้ในหนังสือพิมพ์
ผู้จัดการ หัวข้อ “บิ๊กราชการแจง 7 วิธี ซ่อนทรัพย์สิน รวยไม่ถูกริบ ป.ป.ช. แกะรอยยาก” เมื่อวันที่ 9 ก.ค. 2555 จึงจะขอสรุปประเด็นจากบทความนี้มาขยายความต่อ และเพิ่มเติมอีก 3 เทคนิค เพื่อให้ทันยุคทันสมัยกันหน่อยนะครับ
1.เก็บทรัพย์สินไว้ในชื่อของคนอื่น คนอื่นๆ นี้มักจะเป็นคนที่ใกล้ชิดไว้ใจได้ หรือที่นิยมมากคือเอาชื่อคนรับใช้ คนขับรถ ไปลงเป็นชื่อเจ้าของ วิธีนี้มีนักการเมืองระดับอดีตนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเคยทำมาแล้วหลายราย ที่นิยมมากคือการโอนทรัพย์สินไปให้ภรรยาจริงที่ไม่จดทะเบียนสมรส กัน หรือชื่อของบุตรที่บรรลุนิติภาวะแล้ว ซึ่งอยู่นอกอำนาจของ ป.ป.ช.
2.จดทะเบียนหย่ากับภรรยา วิธีนี้ข้าราชการระดับสูงและนักการเมืองนิยมทำกันมาก โดยหย่ากันหลอกๆ เพื่อให้ไม่ต้องแจ้งทรัพย์สินของภรรยาที่หย่าขาดกันไปแล้ว โดยพฤตินัยก็ยังนอนห้องเดียวกัน บ้านเดียวกัน ไปใหนมาใหน ออกหน้าเหมือนเดิม ส่วนลูกของข้าราชการและนักการเมืองระดับสูงที่บรรลุนิติภาวะแล้ว ก็มักจะได้มีทรัพย์สินมากมายโอนมาไว้เพื่อที่จะไม่ต้องแจ้งต่อทางการ
3.เก็บทรัพย์สินเป็นหุ้น โดยรับสินบนเป็นตัวหุ้น และอ้างว่ามีทรัพย์สินเพิ่มพูนจากการทำกำไรจากการซื้อขายหุ้น มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงมากหลายรายที่อ้างว่ารวยจากฝีมือการเล่นหุ้นได้เงินเป็นร้อยๆ ล้าน
4.เปลี่ยนเงินสดที่ได้มาโดยมิชอบไปเป็นที่ดินเก็บไว้ในชื่อคนอื่น แต่บางคนก็กล้าเก็บไว้ในชื่อตนเอง หากเป็นที่ดินต่างจังหวัดห่างไกลที่ราคาประเมินทางการราคาถูกกว่าเป็นจริงมาก โดยเฉพาะบริเวณแหล่งท่องเที่ยวชายทะเลต่างๆ
5.ซุกเงินสดไว้ในบ้าน ซึ่งแม้จะเป็นวิธีที่ซับซ้อนน้อยที่สุด แต่การตรวจสอบทำได้ค่อนข้างยาก เพราะหาก ป.ป.ช. มาตรวจที่บ้าน คนในบ้านก็นำเงินไปซ่อนที่อื่นได้ ยกเว้นจะเกิดปาฏิหาริย์มีโจรขึ้นบ้านมาสารภาพกับตำรวจอย่างคดีนายสุพจน์
6.เก็บในรูปของทรัพย์สินมีค่าอื่นๆ เช่น เพชร ทองคำ ทับทิม มรกต นาฬิกาและกระเป๋าหนังแบรนด์ดัง ราคาใบละหลายล้านบาท
7.ซ่อนเงินสดหรือทรัพย์สินไว้ในตู้เซฟ ผนังลับ หรือฝังไว้ใต้ดิน ยังมีคนไทยทั่วไปแม้ไม่ใช่คนร้ายจำนวนมากที่ยังใช้วิธีนี้อยู่ มีการประเมินว่าหลังเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2554 มีเงินที่ถูกฝังดินต้องสูญเสียไปเป็นจำนวนมาก
8.ซื้อเป็นคอนโดมิเนียมในชื่อคนอื่น แต่มีเอกสารเซ็นโอนลอยไว้ให้ตน แต่ก็มีบางรายรับอาคารชุดหรูมาที่มีคนซื้อเอาโฉนดส่งมาให้ในชื่อตัวเองโต้งๆ เลยไม่อายใคร เคยมีเจ้าหน้าที่แผนกที่ดูแลทะเบียนเจ้าของกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมมาเล่าให้ฟังว่าเห็นข้าราชการที่มีอำนาจในการออกใบอนุญาตต่างๆ หลายคนมีคอนโดมิเนียมไว้ในครอบครองทุกคนๆ ละหลายๆ แห่ง
9.รับเป็นของมีค่าที่ประเมินราคามิได้ เช่น พระเครื่อง รูปเขียนศิลปะจากศิลปินดังๆ เคยมีข้าราชการระดับสูงเก็บเหรียญหายากเอาไว้ อ้างเวลาได้รับเงินสินบนเป็นเงินสดหลายสิบล้านบาท ว่าได้เงินมาโดยบริสุทธิ์จากการขายเหรียญ
10. แจ้งว่า “ยืมเพื่อนมา” อันนี้ผมขอไม่อธิบายต่อแล้วกันนะครับ
บทสรุปสำหรับเรื่องนี้คือ แม้ว่าในปัจจุบันจะมีกระบวนการเปิดเผยข้อมูล และวิธีการตรวจสอบทรัพย์สินของข้าราชการระดับสูงและนักการเมืองอย่างละเอียดแล้วก็ตาม แต่ในความเป็นจริง คนโกงเหล่านี้ก็ยังสามารถใช้วิธีอย่างดึกดำบรรพ์ อย่างการฝังเงินไว้ใต้ถุนบ้านในการหลีกเลี่ยงอยู่ได้ นี่จึงเป็นโจทย์ที่ท้าทายสำหรับหน่วยงานที่มีหน้าที่ต้านโกงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ป.ป.ช. ป.ป.ท. สตง. หรือ คณะ กรรมการปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ และนักวิชาการ นักวิจัยที่กำลังศึกษาเรื่องนี้อยู่ ซึ่งผมเชื่ออย่างยิ่งว่าความท้าทายนี้ ไม่เกินความสามารถหน่วยงานเหล่านี้อย่างแน่นอน หากได้รับการสนับสนุนจากประชาชนที่ตื่นรู้สู้โกงครับ
ต่อตระกูล ยมนาค และดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี