ทางการไทยได้ประหารชีวิตนักโทษไปเมื่อเร็วๆ นี้ หลังจากที่ผ่านมา ไม่ได้มีการประหารชีวิตมา 9 ปี
ก่อให้เกิดคำถามตามมามากมาย
1. ทำไมเร่งรีบประหาร โดยไม่ให้ใครรู้ แม้แต่ญาติสนิทของนักโทษก็ไม่รู้มาก่อน?
2. ทำไมต้องประหารชีวิต ขณะที่ว่างเว้นไป 9 ปี มีคนที่ต้องโทษประหารก่อนหน้าจำนวนหนึ่ง แล้วเกี่ยวข้องกับข้อตกลงระหว่างประเทศที่ว่าหากประเทศไทยไม่มีการประหารชีวิตใน 10 ปี จะถือว่าไทยยกเลิกโทษประหารไปแล้ว หรือไม่?
หลังจากประหารชีวิต ได้ก่อให้เกิดการโต้เถียงกันมากในสังคมไทย ว่าประเทศไทยยังควรมีโทษประหารอีกต่อไปหรือไม่? ซึ่งเป็นเรื่องดีที่จะได้รับฟังความคิดเห็นแตกต่างทุกด้าน เพื่อเป็นสติปัญญาแก่สังคม
การหยั่งเสียงความเห็นผ่านสื่อมวลชนหลายแขนง ปรากฏว่า มากกว่าร้อยละ 90 ต้องการให้มีโทษประหารในประเทศของเรา ซึ่งประสบการณ์ที่ทำสื่อมวลชนได้ฟังความเห็นมามาก ก็มั่นใจว่าคนไทยจำนวนมากเห็นเช่นนั้น
เราลองมาดูเหตุผล และการให้น้ำหนักของเหตุผลแต่ละข้อ จะทำให้เข้าใจสังคมไทยได้มากขึ้น ดังนี้
เห็นด้วยกับการประหารชีวิต
1. เชื่อว่าคนผิด-คนเลว แก้ตัว สำนึกตัวไม่ได้ กรณีองคุลีมาลก็เป็นเพียงข้อยกเว้นส่วนน้อย
ลึกๆ คงเชื่อว่า ถ้ากักขังไว้ ก็ไม่เชื่อว่ากรมราชทัณฑ์สามารถจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ความรู้สึกนึกคิดใหม่ให้กลับเป็นคนดี ไม่ทำร้ายสังคมได้
2. การลงโทษแรงๆ ให้ตายตกไปตามกัน เป็นความสะใจ ได้แก้แค้นให้กับคนถูกกระทำ จะเห็นว่าได้หยิบกรณีที่ถูกฆ่าตายว่าน่าเห็นใจ และคับแค้นใจอย่างไรออกมาบรรยาย แล้วคิดว่า ถ้าคนไม่ถูกกระทำก็ไม่รู้ซึ้งหรอก ความจริงก็น่าเห็นใจเป็นอย่างยิ่งกับเหยื่อที่ถูกฆ่าตาย หรือถูกกระทำ
แต่การที่ทำให้คนตายเพิ่มขึ้นก็ได้ความสะใจ แก้แค้น ตามความรู้สึกของมนุษย์ ซึ่งไม่ได้ทำให้คนที่ถูกกระทำฟื้นคืนหรือเยียวยาอะไรได้มากนัก
สังคมจึงเน้น “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” มากกว่า “เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร”
3. ต้องการโทษแรงๆ เพราะจะทำให้คนอื่นๆ กลัวเกรง ไม่ทำผิด ซึ่งเป็นเจตนาดีที่จะช่วยปกป้องสังคม
อยากจะยกเลิกโทษประหารชีวิต แต่จำคุกตลอดชีวิตแทน
1. เชื่อว่าคนทุกคนพัฒนาได้ เปลี่ยนแปลงได้ ถ้าได้สิ่งแวดล้อม ปัจจัยที่ถูกต้อง ก็กลับตัวกลับใจ พัฒนาได้
เด็กที่เกิดมาใหม่ๆ ไม่ได้เป็นฆาตกรหรือคนเลวมาตั้งแต่แรกเกิด สังคมสิ่งแวดล้อม ปัจจัยรอบข้างได้เป็นตัวกำหนดให้เขาเป็นเช่นนี้ หากเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมปัจจัยรอบข้าง ให้ความรู้ความคิดใหม่ ก็น่าจะปรับตัวพัฒนาได้
2. การไม่มีโทษประหาร ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ลงโทษ แต่นำคนผิดมาจองจำ กันคนไม่ดีออกจากสังคม ไม่ให้ทำร้ายสังคมต่อไปได้ และถ้าพิสูจน์ตัวได้ว่ามีการพัฒนาดีขึ้น ทำให้มั่นใจได้ว่าพฤติกรรมและการกระทำของเขาเปลี่ยนแปลงพัฒนาขึ้น ก็ค่อยลดหย่อนโทษไปตามลำดับ จะมั่นใจว่า ถ้าปล่อยมาอยู่ร่วมกับสังคม จะไม่ทำร้ายสังคม จึงปล่อยตัวไป
3. การจองจำในห้องลูกกรง จำกัดบริเวณแคบๆ ก็เป็นการทรมานบุคคลที่กระทำผิดมากพอ หรือจะมากกว่าด้วยซ้ำ
4. โทษรุนแรงอย่างประหารชีวิตเพื่อข่มขู่ป้องกันคนอื่นทำผิด ได้พิสูจน์แล้วว่าไม่ได้ผล เพราะคนทำผิดมักจะคิดว่าตนเองจะไม่ถูกจับได้ ยิ่งโทษแรงมาก ยิ่งทำให้คนในกระบวนการยุติธรรมรวยมากขึ้น เพราะสามารถวิ่งเต้น เช่น ตำรวจ อัยการ โดยแลกผลประโยชน์ได้
5. โทษที่รุนแรง แต่ผู้รักษากฎหมายปล่อยปละละเลย จะสู้โทษที่ไม่รุนแรงมากนัก แต่ผู้รักษากฎหมายเอาจริงเอาจัง ตรวจจับสม่ำเสมอไม่ได้
ลองพิจารณาดู ถ้าโทษปรับคนไม่ข้ามทางม้าลายแพงมากๆ เช่น 500 บาท แต่เจ้าหน้าที่ไม่กวดขัน คนข้ามถนนก็จะหันซ้ายแลขวา ดูว่าถ้าไม่มีเจ้าหน้าที่ก็เดินข้าม แต่กลับกัน หากโทษปรับสำหรับผู้ไม่ข้ามทางม้าลายเพียง 200 บาท แต่ทุกครั้งที่เดินข้ามผิดที่ก็จะถูกจับเสมอ พฤติกรรมคนข้ามถนนจะเกรงกลัวการทำผิดมากกว่าหรือไม่
6. โทษที่รุนแรง เช่น โทษประหารชีวิต หากกระบวนการยุติธรรมเกิดความผิดพลาด จับผิดตัว เข้าใจพยานหลักฐานผิด ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว หากต้องโทษคุมขังจะแก้ไขเยียวยาได้ ซึ่งต่างกับการประหารชีวิตผู้บริสุทธิ์
7. เชื่อว่ามนุษย์ไม่มีสิทธิในการปลิดชีวิตคนอื่น หรือคนอื่น ไม่ว่า “ผู้ร้าย” หรือ “ผู้ดี” ก็ไม่น่าจะมีสิทธิทำลายสิทธิที่จะมีชีวิตของผู้อื่น เช่นเดียวกับตัวของเราเองก็ต้องรักและปกป้องชีวิตของเราเอง
ยังอีกนานครับ ที่สังคมไทยจะต้องถกเถียงกันต่อไป แม้สังคมโลกจะค่อยๆ พัฒนาไปในทางยกเลิกโทษประหารชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ
โทษประหาร กับรัฐธรรมนูญ กฎหมายสูงสุดของประเทศเป็นอย่างไร?
ในช่วง 20 ปีสุดท้ายของสังคมไทย รัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุด ได้พัฒนาเปลี่ยนแปลงในเรื่องโทษประหารชีวิตไว้อย่างน่าสนใจ
รัฐธรรมนูญ 2540
“มาตรา 31 บุคคลย่อมมีสิทธิเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย
การทรมาน ทารุณกรรม หรือการลงโทษด้วยวิธีการโหดร้าย หรือไร้มนุษยธรรมจะกระทำมิได้ แต่การลงโทษประหารชีวิตตามที่กฎหมายบัญญัติ ไม่ถือว่าเป็นการลงโทษด้วยวิธีการโหดร้ายหรือไร้มนุษยธรรมตามความในวรรคนี้”
จะเห็นว่า ข้อความที่ขีดเส้นใต้ ได้ให้ข้อยกเว้นหลักการใหญ่ไว้ ว่าการลงโทษด้วยวิธีการโหดร้ายหรือไร้มนุษยธรรมจะกระทำมิได้ แปลว่า กฎหมายระดับต่ำกว่าที่ขัดแย้งโดยมีโทษประหารชีวิตยังใช้บังคับได้
เมื่อครั้งมีการร่างรัฐธรรมนูญ 2550 ที่ผมได้มีโอกาสร่วมร่างและแสดงความเห็น มีการถกเถียงประเด็นโทษประหารชีวิตอย่างมาก ฝ่ายหนึ่งขอให้ตัดข้อความที่ขีดเส้นใต้ตามรัฐธรรมนูญ 2540 มาตรา 31 ออก แต่ในที่สุดได้แก้ไขถ้อยคำและหลักการเป็นว่า
รัฐธรรมนูญ 2550
“มาตรา 32 บุคคลย่อมมีสิทธิเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย
การทรมาน ทารุณกรรม หรือการลงโทษด้วยวิธีการโหดร้าย หรือไร้มนุษยธรรม จะกระทำมิได้ แต่การลงโทษตามคำพิพากษาของศาลหรือตามที่กฎหมายบัญญัติ ไม่ถือว่าเป็นการลงโทษด้วยวิธีการโหดร้ายหรือไร้มนุษยธรรมตามความในวรรคนี้”
ซึ่งยังมีข้อความที่เอื้อให้กฎหมายที่มีโทษประหารและรับรองคำพิพากษาของศาลไว้ โดยปรับเปลี่ยนถ้อยคำ
แต่รัฐธรรมนูญ 2560 ฉบับที่ใช้ในปัจจุบัน ได้พิจารณาเปลี่ยนแปลงไปอีกขั้นหนึ่ง
รัฐธรรมนูญ 2560 (ฉบับปัจจุบัน)
“มาตรา 28 บุคคลย่อมมีสิทธิเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย
การจับและการคุมขังบุคคลจะกระทำมิได้ เว้นแต่มีคำสั่งหรือหมายของศาลหรือมีเหตุอย่างอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ
การค้นตัวบุคคลหรือการกระทำใดอันกระทบกระเทือนต่อสิทธิหรือเสรีภาพในชีวิตหรือร่างกายจะกระทำมิได้ เว้นแต่มีเหตุตามที่กฎหมายบัญญัติ
การทรมาน ทารุณกรรม หรือการลงโทษด้วยวิธีการโหดร้าย หรือไร้มนุษยธรรมจะกระทำมิได้”
จะเห็นได้ว่า รัฐธรรมนูญ 2560 ฉบับปัจจุบัน ได้ตัดข้อความที่เป็นข้อยกเว้นตามข้อความที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญ 2540 และรัฐธรรมนูญ 2550 ที่ขีดเส้นใต้ไว้ออกไปทั้งหมด
แสดงว่า รัฐธรรมนูญ 2560 ได้คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย ที่การลงโทษด้วยวิธีการโหดร้ายหรือไร้มนุษยธรรม จะกระทำมิได้ โดยไม่มีข้อยกเว้นอีกต่อไป
คำถาม คือ กฎหมายและการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ 2560 ที่บังคับใช้ในปัจจุบัน ยังใช้บังคับได้อีกต่อไปหรือไม่ และที่ดำเนินการไปแล้วหลังรัฐธรรมนูญ 2560 บังคับใช้ตั้งแต่วัยที่ 6 เมษายน 2560 จะทำอย่างไร?
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี