ในหน้าตำนานทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวพันกับประเทศไทย ได้มีการกล่าวถึง อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งในอดีตคืออาณาจักรหริภุญชัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงต้นของอาณาจักร ที่มีกษัตริย์ที่เป็นสตรีเพศเป็นผู้ปกครอง คือพระนางจามเทวี ซึ่งเป็นพระนามที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี
อาณาจักรแห่งนี้ที่ก่อตั้งเมื่อประมาณปีพุทธศักราช ๑,๒๐๐ ได้มีความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก แต่หลังจากหมดยุคที่พระนางปกครองอยู่ ความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรนี้ก็ลดน้อยถอยลง จนกระทั่งในที่สุดก็ต้องพ่ายแพ้จากการรุกรานของ พระเจ้าเม็งรายมหาราช กษัตริย์ผู้ก่อตั้งเมืองเชียงใหม่ ในช่วงต้นของพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ปัจจุบันนี้หริภุญชัยก็คือจังหวัดลำพูนนั่นเอง
ยังไม่มีข้อสรุปอย่างชัดเจนจากนักประวัติศาสตร์ทั้งหลายว่า พระนางจามเทวีมีชาติกำเนิดอย่างไรแน่นอน ในตำนานจามเทวีวงศ์และตำนานมูลศาสนา ได้กล่าวว่า พระนางเป็นพระราชธิดาของกษัตริย์แห่งกรุงละโว้ ในขณะที่ตำนานพื้นบ้านที่มีชื่อว่ามุขปาฐะได้กล่าวว่า พระนางเป็นธิดาของคหบดีเชื้อสายชาวเม็งหรือชาวมอญ อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ปัจจุบันคือหมู่บ้านหนองดู่ อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน โดยมีพระราชสมภพตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๕ ปีมะโรง พุทธศักราช ๑๑๗๖
เมื่อมีพระชนม์ได้ ๓ เดือน พระนางถูกนกยักษ์ตัวหนึ่งโฉบเอาขึ้นไปบนท้องฟ้า เมื่อนกตัวนั้นบินผ่านหน้าสุเทวฤาษีซึ่งบำเพ็ญตบะอยู่นะเขาอุจฉุตบรรพต ได้แผ่เมตตาจิตให้นกนั้นปล่อยทารกน้อยลงมา แล้วรับเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม โดยตั้งชื่อว่านางวี เนื่องจากฤาษีตนนั้นได้ใช้พัดซึ่งภาษาท้องถิ่นทางเหนือเรียกว่าวี รองรับพระนางไว้เมื่อนกปล่อยตัวพระนางลงมา
สุเทวฤาษีได้อบรมสั่งสอนให้พระนางได้ร่ำเรียนสรรพวิชาการต่างๆ อย่างเต็มความสามารถ และได้ผูกดวงชะตาพบว่ากุมารีนางนี้จะมีบุญวาสนา ได้เป็นถึงจอมกษัตริย์ปกครองบ้านเมืองอันใหญ่โตซึ่งจะรุ่งเรืองไปในภายภาคหน้า จึงได้ตัดสินใจส่งพระนางไปสู่ราชสำนัก เพื่อจะได้ศึกษาสรรพวิชาต่างๆ ให้มากขึ้น อันจะนำไปสู่การได้รับการอภิเษกขึ้นเป็นเชื้อพระวงศ์ ที่สมควรแก่การที่จะได้เป็นใหญ่ต่อไป โดยสำนักในสายตาของสุเทวฤาษีนั้นคือราชสำนักกรุงละโว้ ซึ่งเจริญรุ่งเรืองที่สุดในแผ่นดินสุวรรณภูมิในเวลานั้น
จนเมื่อพระนามมีพระชนมายุได้ ๑๓ พรรษา สุเทวฤาษีจึงได้จัดการเนรมิตแพ และส่งให้พระนางล่องลอยไปตามน้ำพร้อมกับพระยาวานรและบริวารจำนวน ๓๕ ตัว ทั้งยังฝากหนังสือเพื่อกราบทูลพระเจ้ากรุงละโว้ว่ากุมารีน้อยนี้จะช่วยละโว้ ประหารศัตรู
แพของพระนางล่องตามลำน้ำไปนานนับเดือนจนเข้าสู่เขตกรุงละโว้ ซึ่งประชาชนสองฝั่งแม่น้ำได้โจษจันถึงความประหลาดของแพนี้ เพราะเมื่อมาถึงท่าน้ำหน้าวัดชัยมงคล แพกลับลอยวนเวียนอยู่ในบริเวณนั้น มีผู้พยายามเข้าไปดึง เข้าฝั่งก็ไม่สำเร็จ ประกอบกับชาวบ้านเห็นเด็กหญิงผู้หนึ่งซึ่งมีผิวพรรณผุดผ่องน่ารักอยู่บนแพ ก็มีความชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง
ความดังกล่าวได้ทราบไปถึงบรรดาขุนนางซึ่งได้ไปตรวจดูและพบความจริง จึงเข้ามากราบทูลต่อพระเจ้าจักวัติผู้ครองกรุงละโว้ให้ทรงทราบ
พระเจ้าจักวัติจึงเสด็จไปยังท่าน้ำพร้อมพระมเหสี เมื่อทอดพระเนตรได้เห็นดังนั้นได้สั่งให้ทหารที่ติดตามชะลอแพเข้าฝั่ง แต่ปรากฏว่าไม่สำเร็จถึงแม้จะใช้กำลังทหารมากเพียงใดก็ตาม พระองค์จึงเข้าใจว่ากุมารีนางนั้นต้องมีบุญญาธิการแน่นอน จึงเสด็จจากที่ประทับพร้อมด้วยพระมเหสี และทรงดึงเชือกที่ผูกแพนั้นไว้ด้วยพระองค์เอง เหตุอัศจรรย์ก็เกิดขึ้นเมื่อแพนั้นเข้ามาสู่ท่าน้ำได้อย่างง่ายดาย
กุมารีน้อยได้รับการต้อนรับและดูแลจากพระเจ้ากรุงละโว้และพระมเหสีด้วยความเสน่หาอย่างยิ่ง ทรงนำกุมารีน้อยขึ้นประทับบนราชรถและเสด็จเข้าสู่ราชสำนัก ตั้งพระนามให้ว่าพระนางจามเทวี
พระราชครูได้พยากรณ์ดวงชะตาของกุมารีน้อยผู้นี้อย่างละเอียดแล้วถวายคำพยากรณ์ว่า“ขอเดชะ กุมารีน้อยผู้นี้เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งพระบุญญานุภาพและพระบารมีอันยิ่งใหญ่ ต่อไปภายหน้า
จะได้เป็นถึงจักรพรรดินีครองแว่นแคว้นปรากฏพระเกียรติยศเกริกไกรไปทั่ว”
พระเจ้ากรุงละโว้ทรงโสมนัสเป็นอย่างยิ่งอีกทั้งพระองค์เองยังมิได้มีพระโอรสพระธิดา จึงมีพระราชโองการให้จัดพระราชพิธีอภิเษกกุมารีขึ้นดำรงพระยศเป็นพระธิดาแห่งกรุงละโว้ ทรงเฉลิมพระนามใหม่ว่า เจ้าหญิงจามเทวี ศรีสุริยวงศ์บรมราชขัติยะนารี รัตนกัญญา ลวะปุรีราเมศวร
ขณะนั้นพระนางมีพระชนมายุได้ ๑๔ พรรษา ทรงถวายสัตย์ปฏิญาณเป็นปฐมว่า “ข้าฯ ขอกล่าวต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อันพิทักษ์รักษากรุงละโว้ว่า ข้าฯจะเป็นมิตรที่ดีต่อท่านทั้งหลาย จะปกปักพิทักษ์รักษาอาณาจักรละโว้ด้วยชีวิต จะปฏิบัติทุกทางที่จะยังความสุขให้ทั่วพระราชอาณาจักรแห่งนี้”
ภายหลังพระราชพิธีอภิเษก พระนางได้รับการดูแลจากพระพี่เลี้ยงและการสอนวิชาศิลปศาสตร์แขนงต่างๆ จนแตกฉาน ซึ่งรวมทั้งด้านการรบด้วย
เมื่อพระนางเจริญพระชนมายุได้ ๒๐ พรรษา ทรงมีพระสิริโฉมงดงามเป็นที่เลื่องลือ รวมทั้งพระปรีชาญาณและบุญญานุภาพก็แผ่ไพศาลจนเป็นที่หมายของของเจ้านครต่างๆ พระเจ้ากรุงละโว้ได้กระทำพิธีหมั้นหมายพระนางไว้กับเจ้าชายรามราชแห่งเมืองราชบุรี
จากกิตติศักดิ์ความงามของพระองค์ ทำให้เจ้าชายแห่งเมืองโกสัมพีส่งเครื่องราชบรรณาการมาสู่ขอ แต่ได้รับการปฏิเสธ จึงยกทัพมาเพื่อเข้ารบชิงพระนาง ซึ่งกำลังทัพของโกสัมพีมีจำนวนมากกว่า ในขณะที่ทัพละโว้จะประสบความปราชัยพระนางได้ตัดสินพระทัยที่จะออกรบโดยเป็นผู้นำทัพ และได้เข้าท้ารบกับเจ้าชายแห่งโกสัมพีตัวต่อตัว จนได้รับชัยชนะ
ในปีพุทธศักราช ๑๒๐๒ สุโกกทันตะฤาษีซึ่งเป็นสหายของสุเทวฤาษี ได้เดินทางมายังกรุงละโว้เพื่อขอพระนางจามเทวีไปเป็นกษัตริย์ปกครองเมืองใหม่ ที่ฤาษีทั้งสองสร้างขึ้นคือเมืองหริภุญชัย ซึ่งพระนางได้ปรึกษากับพระราชบิดาและพระสวามีแล้ว จึงตัดสินใจเดินทางไปปกครองเมืองหริภุญชัย โดยนำพระแก้วขาวซึ่งปัจจุบันเชื่อว่าเป็นองค์ที่ประดิษฐานอยู่ที่วัดเชียงมั่น จังหวัดเชียงใหม่ ขึ้นไปด้วย
ในรัชกาลของพระองค์นั้น นครหริภุญชัยมีความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างยิ่งราษฎรอยู่ร่วมกันอย่างร่มเย็นเป็นสุข พระพุทธศาสนาได้รับการทำนุบำรุงเป็นอย่างดี ประชาชนมีศรัทธาสร้างวัดจำนวนมาก กองทัพมีความเข้มแข็ง และพระนางทรงนำทัพในการต่อสู้ศัตรูผู้รุกรานมีชัยชนะทุกครั้งไป
ประชาชนชาวไทยคงไม่ได้มีข้อขัดข้อง หากเราจะมีนายกรัฐมนตรีเป็นเพศสตรีเพียงแต่ขอให้มีคุณสมบัติที่เหมาะสมต่อการเป็นผู้นำในการบริหารประเทศ หันกลับมาดูนายกรัฐมนตรีหญิงคนปัจจุบันว่ามีความเหมาะสมหรือไม่อย่างไร ก็จะพบว่าโดยคุณสมบัติส่วนตัวนั้น ในส่วนของการศึกษา ก็ยังเป็นประเด็นค้างคาใจของคนจำนวนไม่น้อย ในการสอบเข้าศึกษาระดับมหาวิทยาลัยในสถาบันอันทรงเกียรติ และถึงแม้จะได้ไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ มีความรู้ติดตัวมาบ้าง แต่ถ้าพิจารณาถึงเรื่องประสบการณ์ในการทำงาน ก็จะพบว่างานที่เคยทำมาก่อนนั้น แทบจะไม่มีส่วนใดที่จะนำมาใช้ในการที่จะมาบริหารบ้านเมืองเลย
หากนายกฯนางนี้ไม่ได้เป็นบุตรสาวของอดีตนายกที่ต้องโทษทุจริตประพฤติมิชอบต่อบ้านเมือง จนถูกศาลพิจารณาลงโทษจำคุกเป็นระยะเวลา๘ ปี แล้วได้รับการผลักดันจากบุคคลผู้พ่อที่มีอำนาจเงินอย่างมหาศาล และอำนาจในการกำกับควบคุมสั่งการคนบางกลุ่มที่ฝักใฝ่การเมืองให้เข้ามาบริหารประเทศ ก็ไม่มีทางที่จะเข้ามานั่งในตำแหน่งดังกล่าวได้
น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง ที่การเมืองในระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆนั้น ยังเต็มไปด้วยเรื่องของการแบ่งปันผลประโยชน์ อันเกิดจากโอกาสที่ได้เข้ามาบริหารกิจการบ้านเมือง จึงทำให้นักการเมืองจำนวนไม่น้อยที่มีอาวุโสและประสบการณ์ ทั้งประเภทหัวหงอกและหัวดำทั้งหลาย ยอมตกอยู่ภายใต้อำนาจเหล่านั้น และเห็นชอบให้การสนับสนุนสตรีเพศผู้นั้นให้เป็นนายก โดยไม่ได้มองถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นต่อประเทศชาติเลย
ช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ได้เป็นเครื่องพิสูจน์ต่อสาธารณชนแล้วว่า ประเทศของเรามีนายกที่ไม่สามารถจะบริหารบ้านเมืองให้มีความเจริญก้าวหน้าได้แต่อย่างใด ภาวะเศรษฐกิจของชาติตกต่ำอย่างที่สุด จนเป็นเรื่องที่น่าอับอายต่อต่างชาติ มีคนตกงานเพิ่มขึ้นมหาศาล หนี้สินครัวเรือนและหนี้สินสาธารณะพุ่งขึ้นไปจนถึงจุดที่จะเป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจมหภาคและจุลภาคของชาติเป็นอย่างที่สุด ทำให้มองไม่เห็นภาพของความเจริญของชาติที่จะเกิดขึ้นเลย มีความแตกแยกของกระบวนความคิดของประชาชน Gen ต่างๆ เกิดขึ้นอย่างมาก จนอาจจะทำให้ขาดความสมัครสมานสามัคคี
ผู้ที่จะแก้ปัญหานี้ได้ มีเพียงผู้เดียว คือนายกรัฐมนตรีหญิงผู้นี้นั่นเอง ถึงเวลาแล้วที่ควรจะทบทวนว่า สิ่งที่กำลังทำกับประเทศชาติ อันเป็นสมบัติและเป็นที่รักของประชาชนส่วนรวม ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง โดยเฉพาะนักการเมืองทั้งหลาย ที่คิดว่าเมื่อเข้ามาบริหารประเทศแล้ว ก็คือการจะครอบครองประเทศ มันเป็นความเสียหายอย่างมากที่สุดแล้ว ก็จงยุติบทบาทนายกฯนี้เถิดเพื่อความอยู่รอดของประเทศชาติ
ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี