วันจันทร์ ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2568
การค้าขายที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้มีมานานกว่า ๖,๐๐๐ ปีก่อนคริสต์ศักราชแล้ว โดยการค้าขายในยุคแรกๆ นั้นไม่ได้ใช้เงินในการซื้อขาย แต่ใช้การแลกเปลี่ยนสินค้าที่เรียกกันว่า Barter Trade เช่น เอาข้าวไปแลกกับเนื้อสัตว์เอาผลไม้ไปแลกกับเกลือ หรือเอาเครื่องปั้นดินเผาไปแลกกับผ้า เป็นต้น
ประมาณ ๑,๐๐๐ ปีก่อนคริสตกาล ในประเทศจีนเริ่มมีการใช้เงินที่ทำจากโลหะเป็นรูปมีดและจอบ ทำจากทองแดงและทองเหลือง ในช่วงของราชวงศ์โจวเป็นครั้งแรก และในอีก ๓๐๐ ปีต่อมาคือประมาณ ๗๐๐ ปีก่อนคริสตกาล ก็เริ่มมีการใช้เงิน ในรูปแบบของเหรียญ ที่มีการผลิตเป็นมาตรฐาน โดยเหรียญเหล่านี้ทำจากโลหะผสม ในอาณาจักรลิเดียซึ่งปัจจุบันนี้คือประเทศตุรกี
เงินกระดาษเริ่มเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในปีคริสต์ศักราช ๗๐๐ โดยชาวจีนเป็นผู้คิดค้นขึ้นในสมัยราชวงศ์ถัง เป็นลักษณะตั๋วแลกเงินสำหรับพ่อค้าและข้าราชการ และมีวิวัฒนาการมาแบบต่อเนื่อง
ในปี ค.ศ.๑๖๖๑ เริ่มมีการใช้ธนบัตรกระดาษเป็นครั้งแรกในยุโรป ที่ประเทศสวีเดน โดยธนาคารสตอกโฮล์มบังโก้เป็นผู้ออกธนบัตรฉบับแรก โดยมีข้อดีมากกว่าเหรียญโลหะเพราะเบากว่าและพกพาสะดวก จึงได้รับความนิยมมากขึ้น และยังใช้แลกเปลี่ยนเป็นทองคำได้ จึงแพร่กระจายไปในหลายประเทศในทวีปยุโรป และกลายเป็นพื้นฐานของระบบการเงินสมัยใหม่
ในปี ค.ศ.๑๙๔๖ มีการสร้างระบบ Charge-It โดยนาย John C. Biggins ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นต้นแบบของบัตรเครดิต ใช้สำหรับทำธุรกรรม ในพื้นที่จำกัด ถือเป็นก้าวแรกของการเงินระบบใช้บัตร ซึ่งมีความสะดวกซื้อก่อนจ่ายทีหลัง ลดความเสี่ยงต่อการโจรกรรม ไม่ต้องพกเงินมาก มีการบันทึกการใช้จ่ายซึ่งติดตามได้ ซึ่งในที่สุดก็มีการใช้อย่างแพร่หลายทั่วโลก
ในส่วนของประวัติศาสตร์ชาติไทยนั้น หากเริ่มต้นนับจากราชอาณาจักรสุโขทัยที่เริ่มเรืองอำนาจขึ้นพบว่า เริ่มมีเอกลักษณ์ที่ชัดเจนขึ้น พบว่ามีการผลิตเงินตราที่ทำจากโลหะเงิน มีสัณฐานกลมเรียกว่าเงินพดด้วงออกใช้ และสืบทอดมาจนถึงอาณาจักรศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และรัตนโกสินทร์ มีการใช้เงินพดด้วงเป็นเงินตราประจำชาตินานกว่า ๖๐๐ ปี ก่อนที่จะมีการผลิตเหรียญกษาปณ์ออกมาใช้
รูปแบบของเงินพดด้วงที่ทำด้วยเงินนั้นจะมีปลายขางอเข้าหากันเป็นปลายแหลม มีรูขนาดใหญ่ระหว่างขา มีตราประทับเพื่อแสดงแหล่งผลิต ตั้งแต่ ๑ จนถึง ๗ ตรา ได้แก่ ตราราชสีห์
ช้าง หอยสังข์ ธรรมจักร บัว กระต่าย และราชวัตร นอกจากทำด้วยเงินแล้วที่ทำด้วยดีบุกและตะกั่วก็มี
เงินพดด้วงในสมัยอยุธยาจะมีขนาดเล็กลง ปลายขาสั้น และไม่ชิดกัน มีตราประทับ ๒ ตรา ด้านบน คือตราจักร อันเป็นตราประจำแผ่นดิน ส่วนด้านหน้าเป็นตราประจำรัชกาลลักษณะต่างๆ เช่น ตราพุ่มข้าวบิณฑ์ตราพระมหานครินทร์ ตราช่อดอกไม้ จะช่ออุทุมพรตราราชวัตร ตราช้าง และตราสังข์ เป็นต้น
ในสมัยกรุงธนบุรี ยังคงมีการใช้เงินพดด้วงอยู่ ซึ่งต่อมาได้ผลิตโดยมีตราประจำรัชกาลประทับอยู่ด้วย เป็นตราพระแสงจักร ซึ่งเป็นตราประจำแผ่นดิน ส่วนตราประจำรัชกาลนั้นใช้ตราตรีศูลและตราทวิวุธ
ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เงินพดด้วงที่ใช้นั้นมีการเปลี่ยนแปลงเพียงแค่ตราเท่านั้น โดยในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ใช้ตราบัวอุณาโลมเป็นเครื่องหมายประจำรัชกาล และตราพระแสงจักรเป็นตราประจำแผ่นดิน และเริ่มมีราคาของเงินพดด้วง เป็นตำลึง บาท สลึงและเฟื้อง
ถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ การค้าขายระหว่างไทยกับต่างประเทศขยายตัวอย่างรวดเร็ว ในส่วนราชการยังใช้เงินพดด้วงในการแลกเปลี่ยน แต่เริ่มมีปัญหาเรื่องผลิตไม่ทันต่อความต้องการ และมีผู้ทำปลอมกันมาก จึงโปรดให้มีการปิดเงินกระดาษเรียกว่าหมาย ซึ่งยังเป็นการพิมพ์แบบง่ายๆ ใช้คู่กับเงินพดด้วง แต่ไม่ได้รับความนิยม จนเริ่มมีการผลิตเหรียญกลมแบนขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.๒๔๐๐ โดยเครื่องจักรที่ได้รับพระราชทานจากสมเด็จพระราชินีวิคตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร แล้วต่อมาก็มีการสั่งเครื่องจักร ผลิตเหรียญกษาปณ์แรงดันไอน้ำมาใช้ รวมทั้งตั้งโรงงานให้ชื่อว่า โรงกษาปณ์สิทธิการ โดยเหรียญกษาปณ์นี้ยังคงใช้คู่กับเงินพดด้วง แต่ไม่ให้มีการผลิตเงินพดด้วงเพิ่มมากขึ้น
ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ได้มีการผลิตเหรียญดีบุก โดยด้านหน้าเป็นตราพระเกี้ยว หรือที่เรียกว่าตราพระจุลมงกุฎอันเป็นตราประจำรัชกาล ส่วนด้านหลังเป็นรูปช้างในวงจักร มีการสร้างโรงกษาปณ์ใหม่ขึ้นพร้อมติดตั้งเครื่องจักรที่ทันสมัย ผลิตเหรียญเงินตราพระบรมรูป และตราแผ่นดิน เป็นเหรียญรุ่นแรกที่มีพระบรมรูปพระมหากษัตริย์บนหน้าเหรียญ ตามแบบสากลนิยม และได้ถือปฏิบัติมาจนถึงรัชกาลปัจจุบัน รวมทั้งได้ประกาศยกเลิกการใช้เงินพดด้วงทั้งหมด ได้มีการเปลี่ยนหน่วยเรียกของเงินแบบเดิมซึ่งมี ทด ชั่ง ตำลึง บาท สลึง เฟื้อง อัฐ โสฬส เหล่านี้ เพราะยากต่อการคำนวณ มาเป็นระบบทศนิยมแบบสากล คือหน่วยเงินบาทและสตางค์ อันเป็นมาตรฐานของเงินตราไทยตลอดมา
เมื่อโลกก้าวสู่ยุคของระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีวิวัฒนาการอย่างรวดเร็ว มีระบบอินเตอร์เนตที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารได้ทั่วทุกมุมโลก และระบบนี้ได้ถูกนำเอามาใช้ในเรื่องการเงินการคลังด้วย จนทำให้เกิดระบบการเงินใหม่ที่เรียกว่า Cryptocurrency เป็นสกุลเงินเข้ารหัส เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่สามารถจับต้องได้ ใช้เป็นสื่อกลางในการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ โดยมูลค่าขึ้นกับความพึงพอใจระหว่างผู้ใช้
มี blockchain เป็นเครือข่ายการเก็บข้อมูล โดยถูกเก็บอยู่ในแต่ละบล็อก เชื่อมโยงกันบนเครือข่ายเหมือนกับเป็นห่วงโซ่ โดยเทคโนโลยีนี้จะคอยบันทึกและส่งข้อมูลให้ทุกคนที่เข้าระบบสามารถเข้าถึงและตรวจสอบได้ เชื่อว่าทำให้มีความโปร่งใส ปลอดภัยสูง ปลอมแปลงยาก เพราะทุกคนสามารถดูประวัติการทำธุรกรรมได้ หากต้องการเปลี่ยนแปลง ต้องแก้ทุกสำเนาที่ทุกคนในระบบถืออยู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้
มี coin เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่มีมูลค่าในตัวเอง ถูกสร้างเพื่อใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการต่างๆ มีเครือข่ายบล็อกเชนของตัวเอง
Cryptocurrency มีหลายกลุ่ม แต่ที่คนไทยรู้จักกันดีคือ bitcoin เป็นคริปโตแบบรักษามูลค่า เป็นเหรียญที่มีจำนวนจำกัดไม่มีการเพิ่มเติมอีกมีอยู่เท่าใดก็บันทึกไว้เท่านั้น ทำให้มูลค่าเพิ่มขึ้นเมื่อ demand เพิ่มมากขึ้น เป็นที่นิยมในประเทศไทยพอสมควร
อีกประเภทหนึ่งคือ stable Coin เป็นเหรียญที่ตรึงมูลค่าเข้ากับสกุลเงินหลักของโลก เช่นดอลลาร์ ยูโร หรือสินค้าโภคภัณฑ์ หนุนหลัง เช่นทองคำ น้ำมันดิบ ในอัตรา ๑ ต่อ ๑ ผู้ที่อยากจะเข้ามาเทรดต้องใช้เงินจริงซื้อ ในอัตรา ๑ ต่อ ๑ แล้วจึงนำไปซื้อคริปโตอื่นๆ ต่อไปได้ เป็นที่นิยมมากในประเทศจีน ซึ่งธนาคารกลางของจีนเพิ่งออกประกาศมาเมื่อไม่กี่วันนี้ว่าจะทำการกวาดล้างและปราบปรามเงินดิจิทัลนี้ ซึ่งเป็นเงินที่ไม่มีสถานะทางกฎหมาย เพราะมีการนำไปใช้ในทางที่ผิดกฎหมาย โดยมีการปั่นราคา เก็งกำไร อันเป็นความเสี่ยงต่อระบบการเงินของประเทศ โดยถือว่าเป็นเงินเสมือนจริง จึงไม่ควรจะนำมาใช้ในการซื้อขาย และยังเป็นช่องทางในการฟอกเงิน การโอนเงินข้ามแดน ก่อปัญหาอาชญากรรม มีผลกระทบต่อสังคม
ปปง. ของไทยได้ดำเนินการตามกฎหมายโดยเข้าจับกุมดำเนินคดีกับบุคคลทั้งสัญชาติจีนและไทย ซึ่งเป็นเครือข่ายอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่เรียกว่าแก๊งสแกมเมอร์เมื่อ ๓-๔ วันที่ผ่านมานี้โดยถือว่าเป็นองค์กรข้ามชาติที่เป็นอันตรายร้ายแรงต่อประเทศและประชาชนรวม ๔ ราย ได้ยึดและอายัดทรัพย์และสิ่งของอื่นๆ เป็นมูลค่ารวมกันประมาณ ๑๐,๑๖๕ ล้านบาท โดยรายแรกคือนายเฉิน จื้อ เป็นคนสนิทของนายฮุนเซน อดีตนายกรัฐมนตรีของเขมร ในข้อหาค้ามนุษย์ หลอกลวง ฟอกเงิน ผ่านเงินดิจิทัล มีฐานใหญ่ในเขมร รายที่ ๒ เป็นนายก๊ก อาน มีฐานในเขมรและสนิทกับฮุนเซนเช่นกัน เชื่อมโยงกับศูนย์สแกมเมอร์หลายแห่ง ฉ้อโกงโดยใช้บัญชีม้าในการทำธุรกรรม รายที่ ๓ ใช้ชื่อว่านางแตงไทย เป็นตัวแทนนายเลียก ยิม ผู้มีอิทธิพลในเขมร มีการโอนเงินผิดกฎหมายผ่านบริษัทต่างๆ เฉพาะรายนี้มีการยึดทรัพย์มากกว่า ๙,๐๐๐ ล้านบาท รายสุดท้ายคือนายเอื้ออังกูร สันติรักษ์โยธิน ชักชวนผู้เสียหายให้ลงทุน และถูกหลอกเอาเงินนั้นไปสู่กระเป๋าเงินดิจิทัล ของกลุ่มอาชญากรรมสัญชาติเขมรเช่นกัน
เงินดิจิทัลถูกกล่าวขวัญมากขึ้นเมื่อถูกนำมาใช้ในขบวนการอาชญากรรมทางการเงินข้ามชาติของกลุ่มแก๊งสีเทาทั้งหลาย ทั้งในการโกงเงิน การฟอกเงิน โยงไปถึงการค้ามนุษย์ อันก่อให้เกิดปัญหาทางสังคมอย่างมากในหลายประเทศ จึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งจัดการอย่างจริงจังและเด็ดขาด ไม่เห็นแก่หน้าผู้ใดรวมทั้งนักการเมืองไทยบางคนซึ่งอาจจะส่วนร่วมอยู่ด้วย เพื่อขจัดภัยร้ายที่คุกคามชาติให้หมดไปโดยเร็วอย่างที่สุด
ปิยะ เนตรวิเชียร

เอาให้จบ! ‘อดีตบิ๊กข่าวกรอง’ฮึ่ม! รอบนี้อย่าเจรจา รบรุกรวดเร็ว ทำลายศักยภาพให้สิ้นซาก
ส่องปัจจัยเสื่อม'ตระกูลฮุน' ก่อนเปิดสงครามกับไทย รอบ 2
ใช้สันดานเดิมอีกแล้ว! เขมรยิง BM-21 ลงพื้นที่พลเรือน บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์
‘กองทัพภาคที่2’เตือนหน่วยงาน‘ยกระดับ’มาตรการรักษาความปลอดภัยอาคารสถานที่ราชการ
การละครมาแล้ว! ฮุน เซน ยกเลิกภารกิจทั้งหมด พร้อมนั่งบัญชาการรบเอง

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี