นักการเมืองจำนวนไม่น้อย กันครอบครัวตัวเองออกจาก “การเมือง” เพราะถือว่า เป็นเพียงตัวเองเท่านั้น ที่มาทำงานการเมือง เป็นนักการเมือง หรือเกี่ยวข้องกับการเมือง ครอบครัวไม่เกี่ยว แต่ก็มีอีกจำนวนไม่น้อย ที่มากันทั้งครอบครัว และจำนวนหนึ่ง เอาครอบครัวมายุ่งกับการเมือง หาประโยชน์ทางการเมือง เป็นนอมินีทางการเมือง และเป็น “ทางผ่านของผลประโยชน์” ทางการเมือง
วันนี้ขอพูดถึง 2 ครอบครัว คือ ลูกทักษิณ ชินวัตร กับลูกบุญทรง เตริยาภิรมย์ ตามความสนใจของสังคมตอนนี้
1) เดชนัฐวิทย์ เตริยาภิรมย์ วัย 28 ปี บุตรชายคนที่สองของนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ ที่ติดคุกอยู่ตอนนี้ พร้อมกับถ้อยคำที่คนจดจำ จากการบอกเล่าของเพื่อนรัก สุรนันทน์ เวชชาชีวะ เกี่ยวกับคดีจีทูจีเก๊ ในโครงการรับจำนำข้าว ว่า “กูพูดไม่ได้”
เดชนัฐวิทย์ ดีกรีปริญญาตรี สาขาวิศวะการจัดการ ม.ธรรมศาสตร์ เเละปริญญาโท สาขา Financial Trading ม.Coventry ประเทศอังกฤษ ที่พร้อมอาสาชาวบ้านร่วมกับพรรคเพื่อไทย อาสาเป็นคนรุ่นใหม่ในนามพรรคเพื่อไทยลงสนามการเมืองครั้งนี้
“ตัดสินใจเล่นการเมือง เพราะชอบการเมืองมาตั้งแต่เด็ก เดินตามคุณพ่อหาเสียงมาโดยตลอด เห็นพ่อเป็นฮีโร่ จึงมีความใฝ่ฝันอยากเป็นนักการเมืองแบบพ่อ” เขากล่าวถึงแรงบันดาลใจ
“ที่ผมเข้ามาการเมือง ถามว่ากลัวเรื่องอุบัติเหตุทางการเมืองหรือไม่นั้น ส่วนตัวไม่กลัวเรื่องอุบัติเหตุทางการเมืองหรือถูกดำเนินคดี เพราะทั้งหมดเป็นเรื่องของคนรุ่นเก่า ซึ่งผมเข้ามาทำงานการเมืองมาในฐานะคนรุ่นใหม่”
“ผมมาเปิดการเมืองในรูปแบบใหม่ เพื่อประโยชน์ของประเทศ โดยคาดหวังให้ความขัดแย้งที่มีอยู่ตอนนี้หมดไป การตัดสินใจเล่นการเมืองของตนเอง ได้ปรึกษากับคุณพ่อมาโดยตลอด ซึ่งคุณพ่อให้กำลังใจ และสนับสนุนอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะได้อยู่ในพรรคที่ดีอย่างพรรคเพื่อไทย ท่านก็หมดห่วง” บุตรชายคนที่สองของบุญทรงระบุ
มุมวิเคราะห์ :: สังคมไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้จัก “เดชนัฐวิทย์ เตริยาภิรมย์” มาก่อน ดี-เลว ยังไม่รู้ เขามีสิทธิ์ที่จะมีพ่อเป็นแรงบันดาลใจ แม้ว่าพ่อจะเข้าคุกไปแล้ว ไม่ว่าจะเข้าเพราะตัวเองหรือติดคุกแทนใครโดย “กูพูดไม่ได้” ก็ตาม เพียงแต่สังคมอาจจะตะขิดตะขวงใจนิดหน่อย กับคำว่า “ฮีโร่” เพราะคนโกง หรือคนที่มีพฤติกรรมที่ “ต้องสงสัย” ว่าเป็น “นอมินี” ที่ไม่กระชากหน้ากาก “โจรตัวจริง” ที่ปล้นงบประมาณแผ่นดินไปกินฟรี ย่อมไม่ใช่ “ฮีโร่” ของสังคมแน่ แต่นั่นก็ไม่เกี่ยวกับเดชนัฐวิทย์โดยตรง เพราะตัวเขาเองยัง “ไม่ได้ทำอะไรเลย”
อีกตอนหนึ่งที่น่า “สะดุด” ก็คือ “ได้ปรึกษากับคุณพ่อมาโดยตลอด ซึ่งคุณพ่อให้กำลังใจ และสนับสนุนอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะได้อยู่ในพรรคที่ดีอย่างพรรคเพื่อไทย ท่านก็หมดห่วง” เราก็ไม่รู้ว่าบุญทรงแกหมดห่วงจริงไหม เพราะตั้งแต่แกติดคุก พรรคเพื่อไทยก็ไม่มีใครพูดถึงชื่อบุญทรงอีกเลย ราวกับโลกนี้ไม่เคยมีบุญทรง นั่นคือ “พรรคที่ดี” ใช่ไหมลูก พรรคที่กำหนดนโยบายแล้วแอบแฝงการโกงเอาไว้ เอาชาวนาบังหน้า แต่แอบหาประโยชน์ที่มากกว่าอยู่ข้างหลัง ใครติดคุกก็ติดไป สำหรับสังคมแล้ว นี่ไม่ควรจะใช่ “พรรคที่ดี” นะครับ
2) ลูกทักษิณ ชินวัตร 3 คน ดาหน้ากันออกมา ในเวลาที่นายพานทองแท้ ชินวัตร ถูกฟ้องในความผิดฐานฟอกเงิน กรณีมีเงินผ่านเข้าบัญชี ที่ต้องสงสัยว่าเป็นเงินตอบแทนในคดีที่ “บิ๊กบอส” สั่งธนาคารรกรุงไทยปล่อยกู้ให้บริษัทในเครือกฤษดามหานคร ทั้งๆ ที่ไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รับเงินกู้นั้น
“เอาคดีปักมันไว้ มันจะได้ไม่อยู่ให้รำคาญใจ ช่วงเลือกตั้ง..!! 55555 ฝันไปเถอะครับลุงฉุน..!! ลุง...อยากให้ผมไปนัก-ผมก็จะอยู่ ไม่อยากให้ผมไปช่วยหาเสียง-ผมก็จะไปมันทุกจังหวัด ผมจะทำทุกอย่างในกรอบของกฎหมาย เพื่อสนับสนุนทุกองค์กร และทุกพรรคการเมือง ที่อยู่ในฝั่งประชาธิปไตย ให้รวมพลังกันเอาชนะการสืบทอดอำนาจของฝ่ายเผด็จการฯให้ได้..!!” ข้อความจาก-พานทองแท้ ชินวัตร... 9 ตุลา
ตามมาด้วยน้องสาวทั้งสอง
“ลูกทักษิณ ไม่เคยได้รับอะไรเหมือนคนอื่นเค้าหรอก ได้รับอะไรแรงกว่าคนอื่นเสมอ แต่รู้มั้ย เลือดเนื้อของทักษิณก็วิ่งอยู่ในตัวเราทั้ง 3 คนนั่นแหละจะเข้มแข็ง ให้สมกับเป็น “ลูกทักษิณ” ขอบคุณทุกคนสำหรับกำลังใจที่ส่งให้พี่โอ๊ค และครอบครัวเรานะคะ ส่งใจให้เราเยอะๆ นะ ขอเลยวันนี้”พิณทองทาและแพทองธาร ชินวัตร...10 ตุลา
นายแก้วสรร อติโพธิ อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เผยแพร่บทความเรื่อง “กฎหมายไทย..รังแกเด็ก..รับใช้เผด็จการ ???” โดยระบุว่า สองข้อความข้างต้นจากเฟซบุ๊คเด็กสองคนนี้ โผล่ขึ้นมาในวาระที่อัยการกำลังจะสั่งฟ้องคดีฟอกเงินธนาคารกรุงไทยของ นายพานทองแท้ ความข้างต้นนี้ใครจะคิดใครจะเขียนไม่สำคัญ แต่เนื้อหานั้นสร้างภาพไว้ชัดเจนว่า กฎหมายไทยได้ถูก “ฝ่ายเผด็จการ” เอาไปใช้รังแกเด็ก ขอให้คนรักเด็ก รักประชาธิปไตยมา รวมพลังกันเป็นฝ่ายประชาธิปไตยให้จงได้
แม้ทุกวันนี้จะเริ่มเข้าหน้าเหล้าหน้าข้าวแล้ว และใครๆ ก็พยายามเป็นกลางกันไปหมดก็ตาม แต่ประชาชนโดยรวมก็ควรจะมีโอกาสได้ข้อมูลที่ครบถ้วนอยู่ดี ดังนั้นในฐานะที่เป็นหนึ่งในคณะกรรมการ คตส. และหนึ่งในพยานดีเอสไอ คดีฟอกเงินธนาคารกรุงไทย และเลขานุการอนุกรรมการไต่สวนคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ผมก็ขอเสนอข้อมูลมาสมทบให้ได้สมดุล ต่อภาพรวมบ้างดังนี้
ถาม : กฎหมายไทยกล้ารังแกเด็กอย่างนี้เชียวหรือ
ตอบ : คดีธนาคารกรุงไทยนี้ศาลฎีกาชี้ขาดยุติไปแล้วว่าปล่อยกู้โดยมิชอบ สู้กันเต็มที่ทุกแง่มุม แฟร์ทุกอย่างแล้ว เหตุที่ลามไปถึงนายพานทองแท้ ก็เพราะหลักฐานทางเดินของเงินที่ให้กู้กันโดยมิชอบนี้ ส่วนหนึ่งมันลากไปถึงชื่อนายพานทองแท้ ว่าน่าจะมีส่วนรับประโยชน์เข้าตัวการ โดยแปลงเป็นธุรกรรมที่ไม่น่าเชื่อถือจนเข้าข่ายฟอกเงินด้วย หลักฐานอย่างนี้ ทั้ง คตส.,ดีเอสไอ และอัยการ มันแน่นจนเขาต้องชี้มูลความผิดฐานฟอกเงิน
ดังนั้น มันไม่ใช่เรื่องรังแกเด็ก ธันวานี้คดีก็จะขาดอายุความแล้วทั้งดีเอสไอ และอัยการเขาไม่สั่งสำนวนไม่ได้หรอกครับอย่าไปว่าเขาเลย ว่าคนอื่นดีกว่า
ถาม : ว่าใครดีกว่าครับ
ตอบ : พฤติกรรมใช้ชื่อลูกเล็กๆ ทั้งพานทองแท้ พิณทองทา มาซุกหุ้นทำเป็นรับซื้อหุ้นชินคอร์ปมูลค่าหลายหมื่นล้านจากพ่อแม่หุ้นละ 10 บาท ราคาจริงขณะนั้น 150 แล้วก็ห้ามตลาดหลักทรัพย์ฯจ่ายปันผลให้ลูกโดยตรง ต้องจ่ายเป็นเช็คผ่านบริษัทชินคอร์ปให้เลขาฯแม่ นำเข้าบัญชีที่ใช้ชื่อลูกเปิดบัญชีไว้และให้ลูกเซ็นใบถอนเงินทิ้งไว้ให้ แล้วเลขาฯมารดาก็ถอนเงินปันผลไปเข้าบัญชีแม่ทุกงวดรวมกว่า 300 ล้าน กว่า 4 ปี นี่คือการใช้ชื่อลูกทำผิด ซุกหุ้นสัมปทานก่อนขึ้นเป็นนายกฯทั้งสิ้น ไม่มีทางปฏิเสธได้
ถาม : แล้วเรื่องเงินธนาคารกรุงไทยไหลเข้ามายังชื่อลูกล่ะครับ
ตอบ : ก็น่าเชื่อว่า..ต้องเป็นเหมือนกรณีซุกหุ้นเช่นกัน นายพานทองแท้ไม่น่าจะรู้เรื่องอะไรเลย ถูกเลขาฯมารดาเอาลายเซ็นเอาชื่อไปใช้ทำธุรกรรมต่างๆทั้งสิ้น
ถาม : แล้วเราไปลงโทษเขาทำไม
ตอบ : ก็เรียกมาสอบถามกันทั้งนั้นแล้ว แต่เขาไม่ยอมพูดความจริงว่า พ่อแม่หรือพี่แจงเป็นคนจัดการ ตัวเองไม่รู้เรื่องเซ็นเอกสารไปตามที่เขาบอกมาเท่านั้น ถ้าพูดอย่างนี้เจ้าหน้าที่เขาก็กล่าวหาไม่ได้หรอกครับ ตอนเกิดเรื่อง ก็ยังเป็นเด็กจะไปรู้เรื่องอะไร แต่เมื่อไม่พูดความจริงก็ต้องโดนคดีเป็นธรรมดา
ถาม : พิณทองทากับแพทองธารเขาบอกว่า เกิดเป็นลูกทักษิณ ก็ต้องรับอะไรแรงกว่าคนอื่นเสมอ
ตอบ : รายพิณทองทานั้น พอบรรลุนิติภาวะ พ่อแม่ก็จัดการเอาชื่อมาใช้แบ่งถือหุ้นชินคอร์ปจากพี่ชาย ให้ข้างพี่ชายเหลือหุ้นไม่เกิน 25% จากนั้นก็ถูกใช้ชื่อร่วมกันขายหุ้นชินคอร์ปให้เทมาเส็คร่วม 7 หมื่นล้านในที่สุด ทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลยเหมือนกัน
อันที่จริงแล้วเด็กสองคนนี้ไม่ได้ทำอะไรแรงๆเลย โดนแรงๆก็เพราะพ่อแม่เอาชื่อไปใช้แรงๆทั้งสิ้น ตอนเป็น คตส.ใหม่ๆ ผมก็เคยบอกเพื่อน เตือนผ่านไปยังครอบครัวเขาแล้วว่า อย่าเอาชื่อลูกเข้ามาไม่มีใครอยากทำอะไรเด็กทั้งนั้น แต่ในที่สุดชื่อเขาก็ถูกนำมาใช้และเมื่อไม่พูดความจริงก็ต้องโดน
ถาม : เขาบอกว่า ไม่มีลูกใครโดนแรงอย่างนี้
ตอบ : ก็พ่อแม่ทั่วไป ไม่มีใครเขาใช้ชื่อลูกมาเล่นแรงๆ เสี่ยงคุกตะรางอย่างนี้หรอกครับ หัวใจทำด้วยอะไรก็ไม่รู้
อย่าไปโทษคนอื่น ไม่ต้องไปปราศรัยอะไรที่ไหนด้วย มันไม่ใช่เรื่องเผด็จการหรือประชาธิปไตยอะไรเลย...เด็กเอ๊ยยเด็ก..เกิดที่ไหนไม่เกิด!!
นั่นคืออาจารย์แก้วสรรกับลูกๆ ทักษิณ ครอบครัวที่สังคมกังขามาตลอดว่า รู้จักผิดชอบชั่วดีกันหรือไม่?!?!?
เอ้า!! ขออนุญาตแถมท้ายสักคน ที่เป็น “ลูกนักการเมือง” คือ ลูกท็อป-วราวุธ ศิลปอาชา ในวัย 45 ปี ทายาทคนสุดท้อง “บรรหาร ศิลปอาชา” จะก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ร่วมสร้าง “นิวบลัดชาติไทยพัฒนา” ให้เป็นหนึ่งในทางเลือกทางการเมือง
“วันนี้เหลือผมที่เป็นหนึ่งเดียวแห่งสกุลศิลปอาชาในชาติไทยพัฒนา แต่ไม่ได้แปลว่ามีผมคนเดียว เพราะยังมี “โพธสุธน เที่ยงธรรม ปริศนานันทกุล ประเสริฐสุวรรณ อังกินันทน์” ร่วมอยู่ในพรรค และอย่าลืมว่าพรรคชาติไทยก่อกำเนิดจากทหารและซอยราชครู คุณพ่อผมเป็นรุ่นต่อมา ผมเป็นรุ่นที่สาม และหลังจากผมก็จะมีคนอื่นๆ ดูแลพรรคต่อไป พรรคนี้ไม่ใช่พรรคของศิลปอาชา แต่เป็นของทุกคน”
เมื่อสิ้นตำนาน “หลงจู๊-ปลาไหล” ไปแล้วนั้น ใครต่อใครถามว่า “ลูกท็อป” จะนำพรรคอย่างไร...
“การทำงานในพรรค เมื่อก่อนนั้นใช้ระบบวันแมนโชว์ โดยบุคลากรที่นำพรรคนั้นมีบารมี เมื่อสิ้นคุณพ่อแล้ว ผมไม่มีบารมีขนาดนั้น ฉะนั้น การเดินหน้าการเมืองของพรรคนั้น แม้พวกเราจะเป็นคนรุ่นใหม่แต่ก็มีผู้ใหญ่ในพรรคหลายคนที่จะช่วยให้คำแนะนำผมต่อการตัดสินใจอนาคตทางการเมืองของพรรค โดยจะใช้รูปแบบบอร์ดบริหาร วันนี้พวกผมต้องทำเต็มที่เพื่อพิสูจน์ตัวเองและชื่อเสียงที่ผู้ใหญ่ของพรรคชาติไทยและชาติไทยพัฒนาเคยสร้างไว้ พวกผมคือองค์ประกอบเพิ่มเติมในพรรค และจะตัดส่วนใดไปไม่ได้” วราวุธระบุ
“ผมคงทำงานแบบคุณพ่อไม่ได้ เพราะคุณพ่อใช้เวลาสามสิบปีก้าวขึ้นมาทำหน้าที่ ประสบการณ์ผมมีไม่มาก ผมต้องใช้ทุกองคาพยพในพรรคช่วยงาน ผมใช้ทฤษฎีพีระมิดสามเหลี่ยมในการทำงาน โดยผมจะอยู่ข้างล่างสุด วันนี้ผมไม่ได้มีความเก่ง แต่หากได้รับโอกาสจะทำหน้าที่ดีที่สุด”
ในบรรดาลูกนักการเมืองที่ยกตัวอย่างมาทั้งหมด วราวุธดู “มีสติ” ที่สุด!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี