ศาลอาญา อ่านคำพิพากษาคดีดำ อ.1937/2560 จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ อดีต สส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย และแนวร่วมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เป็นจำเลย ฐานกระทำผิดพ.ร.บ.เครื่องยุทธภัณฑ์ พ.ศ.2530 และรับของโจร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357
สืบเนื่องจากกรณีเมื่อวันที่ 22 เม.ย. 2553 เจ้าหน้าที่ตรวจค้นรถจำเลย พบมีเสื้อเกราะกันกระสุนและหมวกนิรภัยปราบจลาจล ซึ่งเป็นเครื่องยุทธภัณฑ์โดยมิได้รับอนุญาต ที่สูญหายไปเมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2553
คำพิพากษาให้จำคุกจำเลยฐานรับของโจร 1 ปี และจำคุกฐานกระทำผิด พ.ร.บ.เครื่องยุทธภัณฑ์ฯ 1 ปี รวมจำคุก 2 ปี จ.ส.ต.ประสิทธิ์ยื่นประกันตัวสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ต่อไป
กรณีนี้ข้างต้น ทำให้สะกิดใจนึกย้อนกลับไปถึงข้อเท็จจริงในช่วงเหตุการณ์ พ.ศ. 2553
ไม่ใช่แค่เสื้อเกราะ หมวกนิรภัย ที่เจ้าหน้าที่ถูกปล้นชิงไป
แต่ยังมีทั้งอาวุธ ยุทธภัณฑ์ ถูกกลุ่มผู้ชุมนุมแย่งชิงไป
จากหลายเหตุการณ์ ทั้งที่สถานีไทยคม สะพานพระปิ่นเกล้า หน้าโรงเรียนสตรีวิทย์ ฯลฯ
จนบัดนี้ ยังไม่ได้รับคืนเป็นส่วนใหญ่
ในรายงานฉบับสมบูรณ์ของ คอป. ระบุถึงเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่ถูกแย่งชิงอาวุธยุทธภัณฑ์ไป ดังนี้
1. เหตุการณ์บนสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า 10 เมษายน 2553
รายงาน คอป. ระบุว่า ความรุนแรงบริเวณสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า ไม่มีผู้เสียชีวิต มีเจ้าหน้าที่บาดเจ็บเล็กน้อยจำนวนหนึ่ง อาวุธยุทธภัณฑ์จำนวนมากถูกผู้ชุมนุมนปช. ยึดเอาไป มียานยนต์ทหารหลายคัน และทรัพย์สินของทางราชการถูกผู้ชุมนุม นปช. ทำลายเสียหาย
เหตุเกิดเมื่อยานยนต์ลำเลียงพยายามลำเลียงเจ้าหน้าที่ทหารข้ามสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้าจากฝั่งธนบุรี เพื่อไปสมทบกับเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติการขอคืนพื้นที่ถนนราชดำเนินกลาง
เมื่อเวลาประมาณ 16.00 น. ขณะที่รถยนต์ลำเลียงส่วนหนึ่งอยู่บนสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า
นายยศวริศ ชูกล่อม (เจ๋ง ดอกจิก) แกนนำ นปช. และการ์ด นปช. พร้อมผู้ชุมนุม ประมาณ 1,000 คน ใช้กำลังสกัดกั้นยานยนต์เจ้าหน้าที่ ขณะที่เจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลว่ามีคำสั่งไม่ให้ใช้กำลัง ทำให้กำลังเจ้าหน้าที่ทหารต้องเดินเท้าข้ามมาพร้อมอุปกรณ์ควบคุมฝูงชน ทิ้งยานยนต์และอาวุธยุทธภัณฑ์ส่วนหนึ่งไว้ในรถลำเลียงสัมภาระ โดยมีเจ้าหน้าที่ทหารดูแลอยู่ประมาณ 20 คน ผู้ชุมนุมได้ใช้กำลังยึดอาวุธ ปลย.พร้อมเครื่องกระสุนและยุทธภัณฑ์จำนวนมากในรถสัมภาระ นำไปแสดงไว้ที่เวทีปราศรัยใหญ่ของ นปช. ที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ พร้อมควบคุมตัวเจ้าหน้าที่ทหารคนหนึ่งมานั่งแถลงข่าวที่หลังเวทีสะพานผ่านฟ้า
นอกจากนี้ ผู้ชุมนุมบางคนยังทำลายยานพาหนะและทรัพย์สินอื่นๆ จำนวนหนึ่งของทางราชการ หรือทำให้เสียหาย ส่วนเจ้าหน้าที่ที่เหลือบนสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้าได้ถอนกำลังกลับไปโดยไม่มีการปะทะ
จากการตรวจสอบ พบว่า อาวุธปืน กระสุน และยุทธภัณฑ์ ที่แกนนำ การ์ด และผู้ชุมนุม นปช. ได้ยึดและนำไปไว้ที่เวทีปราศรัยนั้น มีปืนลูกซอง 35 กระบอก พร้อมกระสุนยาง 1,152 นัด ปลย. ชนิดทราโว 12 กระบอก พร้อมกระสุนจริง 700 นัด และยุทโธปกรณ์อื่นๆอีกจำนวนหนึ่ง จากการตรวจสอบยังไม่พบว่าทางราชการได้รับอาวุธดังกล่าวทั้งหมดคืนจาก นปช.
พบ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ปรากฏตัวอยู่บริเวณเชิงสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้าฝั่งธนบุรี เมื่อเวลาประมาณ 16.40 น. พร้อมกับนายยศวริศ ชูกล่อม ซึ่งเป็นช่วงเกิดเหตุการณ์ที่ผู้ชุมนุมยึดอาวุธเจ้าหน้าที่
2. ประชาชน ทหาร เสียชีวิตในคืนวันที่ 10 เมษายน 2553 และอาวุธราชการถูกยึดไป
รายงาน คอป. ระบุว่า ผู้ชุมนุมควบคุมตัวเจ้าหน้าที่ทหาร ยึด ทำให้เสียหายซึ่งยุทธภัณฑ์ และยานยนต์จำนวนมากและทำร้ายทหารที่ได้รับบาดเจ็บ
โดยความรุนแรงที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์หน้าโรงเรียนสตรีวิทยา นอกจากผู้ชุมนุม ช่างภาพชาวญี่ปุ่น และเจ้าหน้าที่ทหารเสียชีวิต และมีผู้บาดเจ็บจำนวนมากแล้ว จากการตรวจสอบยังปรากฏว่า ผู้ชุมนุมส่วนหนึ่งได้ทำลายรถยนต์สายพานลำเลียงหุ้มเกราะจำนวนมาก
นอกจากนั้น ผู้ชุมนุมยังได้ยึดอาวุธปืนและยุทธภัณฑ์ของทางราชการจำนวนหนึ่งไปจากยานยนต์ดังกล่าวและเจ้าหน้าที่ทหาร โดยผู้ชุมนุมนำอาวุธปืนและยุทธภัณฑ์ไปมอบไว้ที่เวทีนปช.สะพานผ่านฟ้าลีลาศ ซึ่งรวมถึงปลย. 1 กระบอก ปลย.ชนิดเอ็ม 16 จำนวน 9 กระบอก ชนิดทราโว จำนวน 13 กระบอก ปืนลูกซอง 10 กระบอก ปืนพกสั้นขนาด .45 จำนวน 1 กระบอก และยุทโธปกรณ์อื่นๆ อีกจำนวนหนึ่ง
ปรากฏว่าอาวุธทั้งหมดดังกล่าว ทางราชการได้คืนมาเพียง ปลย. ชนิดเอ็ม 16 จำนวน 1 กระบอก โดยยึดคืนได้จากการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจค้นโรงแรมเอสซีปาร์คในวันที่เจ้าหน้าที่พยายามจับตัวนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2553
ปลย. ชนิดทราโวอีก 1 กระบอก ยึดได้พร้อมกับการจับกุมนายเมธี อมรวุฒิกุล เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2553
และปลย.ชนิดทราวโวอีก 1 กระบอก พร้อมซองกระสุนจำนวน 6 ซอง ยึดคืนได้จากการตรวจค้นโรงแรมสวัสดีหลังสวนอินน์ ใกล้สี่แยกราชประสงค์ เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2553
นอกจากนั้นทางราชการยังไม่ได้รับคืน
เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษตรวจสอบพบว่าปืนทั้ง 3 กระบอกดังกล่าว เป็นปืนที่ถูกผู้ชุมนุมยึดไปจากเจ้าหน้าที่ทหารในเหตุการณ์หน้าโรงเรียนสตรีวิทยาและอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
3. รายงาน คอป.ยังระบุด้วยว่า จากการตรวจสอบทั้งจากเจ้าหน้าที่ที่ได้รับบาดเจ็บ แพทย์ทหาร บุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลวชิระ และหน่วยอาสาสมัครกู้ชีพ ได้ข้อเท็จจริงที่ตรงกันว่า ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารพยายามถอนกำลังจากถนนตะนาว ถนนข้าวสาร และถนนดินสอเพื่อกลับที่ตั้ง ซึ่งอยู่ไปทางด้านทิศเหนือของที่เกิดเหตุ ได้มีผู้ชุมนุมจำนวนมากได้ปิดทางถอยและรุมทำร้ายเจ้าหน้าที่ทหารจนได้รับบาดเจ็บ
เจ้าหน้าที่บางคนต้องถอดเครื่องแบบทหารออกและเปลี่ยนเป็นชุดพลเรือน เพื่อให้รอดพ้นจากการทำร้าย
นอกจากนั้น ผู้ชุมนุมที่โกรธแค้นบางคนได้แย่งตัวเจ้าหน้าที่ทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากรถยนต์ลำเลียงคนเจ็บลงมาทำร้ายด้วย
ผู้ชุมนุมอีกจำนวนหนึ่งได้รุมทำร้ายเจ้าหน้าที่บางคน ซึ่งออกมาจากรถยนต์สายพานลำเลียงหุ้มเกราะหลังจากเหตุการณ์ปะทะสงบลง
รวมทั้งได้พยายามเข้าไปในโรงพยาบาลเพื่อค้นหาศพผู้เสียชีวิต เช่น การพยายามเข้าไปในห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลวชิระ และติดตามไปที่โรงพยาบาลตากสิน จนเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลต้องนำตัวเจ้าหน้าที่ทหารไปซ่อนและย้ายไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลอื่น
อย่างไรก็ตาม พบว่ามีผู้ชุมนุมบางคนพยายามห้ามปรามและช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ทหารที่บาดเจ็บด้วยเช่นกัน
4. น่าคิดว่า ถึงวันนี้ อาวุธที่ปล้นชิงไปจากทางการส่วนใหญ่ ก็ยังไม่ได้คืน
จึงไม่ได้มีแค่กรณีของจ่าประสิทธิ์ที่ถูกตรวจค้นพบว่าครอบครองยุทธภัณฑ์บางรายการอยู่เท่านั้น ยังมีส่วนที่ร้ายแรงกว่านั้นอีกมาก
น่าสงสัยว่า การชุมนุมที่อ้างว่าต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ต่างอะไรกับขบวนการก่อการร้ายปล้นปืนทางการ?
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี