มีเรื่องเล่าต่อๆ กันมา สะท้อนความจริงบางประการว่า
“มีชาย 3 คน เป็นเพื่อนรักที่ชอบเมามาด้วยกัน
คนที่หนึ่ง เมาฝิ่น คนที่สอง เมาเหล้า และคนที่สาม เมากัญชา
ทั้งสามคน เมื่อเมาได้ที่ก็ต้องการจะเข้าไปนอนในโบสถ์ พอเดินไปถึงหน้าประตูโบสถ์ พบว่าพระท่านใส่กุญแจประตู เข้าไปในโบสถ์ไม่ได้
คนเมาฝิ่นพูดขึ้นมาว่า “พระท่านใส่กุญแจ ไม่เป็นไร เรานอนหน้าประตูโบสถ์ก็ได้ พระมาเปิดเมื่อไหร่ เราค่อยเข้าไปนอนในโบสถ์ก็แล้วกัน
คนเมาเหล้าพูดขึ้นบ้างว่า “ใส่กุญแจแค่นี้ไม่เป็นไร เราพังประตูเข้าไปก็ได้ จะได้รู้ว่าที่นี่ใครใหญ่”
คนสุดท้ายที่เมากัญชา บอกกับเพื่อนทั้งสองคนว่า “พระท่านใส่กุญแจโบสถ์ก็ไม่เป็นไร เราทำตัวให้เล็กๆ ลอดรูกุญแจเข้าไปก็ได้”
เรื่องเล่านี้ สะท้อนฤทธิ์การเมาที่แตกต่างกัน
เมาฝิ่น จะขี้เกียจ อยากนอน
เมาเหล้า จะก้าวร้าว รุนแรง อวดดี
แต่เมากัญชา จะเคลิ้ม อารมณ์ดี มีจินตนาการ
น่าคิดว่า ประเทศไทย ผลิตเหล้า ขายเหล้ามายาวนาน อย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่การเสพกัญชาบัญญัติให้เป็นเรื่องผิดกฎหมายร้ายแรง ห้ามเสพ ห้ามครอบครอง ห้ามซื้อขาย ห้ามปลูก ห้ามสกัด ทำให้การแพทย์แผนไทยที่ใช้กัญชาเป็นส่วนประกอบนับร้อยนับพันตำรับต้องได้รับผลกระทบไปด้วย ไม่สามารถพัฒนาและใช้ประโยชน์ได้มายาวนาน
ข่าวคราวเรื่องกัญชาเริ่มแพร่หลาย เมื่อประเทศฝรั่งที่เรายอมรับนับถือ ประกาศให้กัญชาถูกกฎหมาย บางประเทศก็ให้ถูกทั้งการเสพ การครอบครอง การซื้อขายเพื่อสันทนาการและเป็นยา แต่บางประเทศก็แก้กฎหมายให้ใช้เพียงเป็นยา
เริ่มจากประเทศเนเธอร์แลนด์ เห็นว่ากัญชาไม่ได้เลวร้ายไปกว่าเหล้าและบุหรี่ จึงเปิดให้มีการเสพ จำหน่ายได้ ค่อนข้างเสรีมานานแล้ว
หลายปีมาแล้ว ผมเคยเดินทางจากออสเตรเลียกลับมาไทย พบชายชาวออสเตรเลียเป็นโรคบางอย่าง ที่เมื่อโรคกำเริบต้องขอนอนราบกับพื้น เมื่อเข้าไปไต่ถาม เขาบอกกำลังเดินทางมาต่อเครื่องบินที่กรุงเทพฯ เพื่อไปรักษาด้วยกัญชาที่เนเธอร์แลนด์
จากนั้น การแพทย์ประเทศต่างๆ ได้ค้นพบว่า กัญชารักษาโรค และระงับอาการเจ็บปวดจากโรคต่างๆ ได้หลายโรค ไม่ว่าจะเป็นลมชัก ไปจนถึงมะเร็ง มีการวิจัยถึงสารสกัดที่มีอยู่ในกัญชากันอย่างแพร่หลาย
มหาวิทยาลัยรังสิตได้ทำวิจัย โดยต้องไปขออนุญาตและนำใบกัญชาจากเจ้าหน้าที่ที่ได้จากการจับกุมเป็นของกลาง มาใช้ทดลองสกัดและทำยา
ขณะนี้ ประเทศต่างๆ เริ่มเปลี่ยนกฎหมาย ให้กัญชาเป็นยารักษาโรค
บางประเทศก็ให้ใช้เพื่อสันทนาการได้ด้วย
คำถาม คือ ประเทศไทยที่เคยใช้กัญชาเป็นยารักษาโรคมาแต่เก่าก่อน เคยใช้กัญชาปรุงอาหารและเสพเพื่อสันทนาการมาเก่าก่อน ก็กำลังจะปรับท่าที แต่จะปรับเพียงครึ่งท่า คือ ให้ใช้ทำยา
แต่ยังมีท่าทียึกยักหลายๆอย่าง
1. จะเปิดให้ทำการศึกษาวิจัยว่าทำเป็นยาได้ ทั้งๆ ที่ ประเทศต่างๆ เขาศึกษาวิจัยกันมากแล้ว รวมทั้งมหาวิทยาลัยรังสิตของไทยก็วิจัยมาแล้ว
ถามว่า ยาหลายชนิด รวมทั้งมอร์ฟีน ที่เรารับมาเป็นยา ประเทศไทยต้องทำวิจัยเองทุกตัวหรือไม่ แล้วทำไมกรณีกัญชาจึงดูยึกยัก
2. ข้อเรียกร้องของคนไทย ก็ไม่เคยได้ยินว่าจะเรียกร้องให้กัญชาถูกกฎหมายทั้งทำยาและสันทนาการ มีแต่ผู้ป่วยมะเร็ง ลมชัก และอื่นๆ ที่หวังจะมีชีวิตและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นอนรอการบำบัดอยู่ และเรียกร้อง
เพียงแค่นี้ทำไมถึงล่าช้า
3. ทำไมจึงมีเอกชนดำเนินการขอสิทธิบัตร เพื่อผูกขาดสารสกัดจากกัญชา ทั้งๆ ที่เป็นผลิตผลจากพืชในธรรมชาติ ซึ่งไม่น่าจะจดสิทธิบัตรเพื่อผูกขาดได้ และยิ่งกว่านั้น เป็นการขอจดสิทธิบัตรขณะที่กัญชายังเป็นยาเสพติดผิดกฎหมายอยู่ ไม่สามารถขอจดสิทธิบัตรได้ แม้กระทรวงพาณิชย์อ้างว่าเอกชนขอ แต่รัฐบาลยังไม่ได้อนุมัติให้สิทธิบัตร แต่ก็เป็นที่น่ากังขาว่ากระทรวงพาณิชย์รับคำขอไปพิจารณาทำไม?
ถ้าเช่นนั้น หากมีคนไปยื่นขอจดสิทธิบัตรยาขยัน ที่มีส่วนผสมเป็นยาบ้า ผสมเฮโรอีน ผสมยาอี จะรับพิจารณาด้วยใช่หรือไม่?
4. ขณะที่กระบวนการแก้ไขกฎหมายโดยรัฐบาลล่าช้า ยึกยัก ก็ปรากฏข่าวคราวท่าทีของรัฐบาลที่จะให้มีการควบคุมการปลูก ควบคุมการวิจัย ควบคุมการผลิตยา
โดยอาจให้เพียงหน่วยงานเดียวของรัฐเป็นผู้ดำเนินการ ทั้งปลูกกัญชาและสกัดสารทำยา
5. ประเทศไทยเคยอ้างมาโดยตลอดว่า การผลิตเหล้าจะต้องควบคุม โดยให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นคนดูแล
แล้วก็มีการผ่องถ่ายอำนาจการผูกขาดการผลิตแต่เพียงรายเดียวไปให้เอกชนบางราย ในลักษณะการประมูล ว่าใครจะให้รายได้กับรัฐดีกว่า แล้วรัฐบาลก็ให้เจ้าหน้าที่รัฐ (กรมสรรพสามิต) กวดขันตรวจจับชาวบ้านที่ทำเหล้า และเรียกเหล้าของชาวบ้านว่าเหล้าเถื่อน อ้างว่าเหล้าของชาวบ้านจะเป็นอันตราย
เอกชนผู้ได้รับสัมปทานโรงเหล้าผูกขาดการผลิต ผูกขาดการขาย จนพลิกแพลงนำเหล้าไปขายพ่วงกับสินค้าอื่น สร้างอำนาจต่อรอง บีบรัดร้านค้า เอาเปรียบคู่แข่งขันในสินค้าเบียร์ที่ตนเองผลิตด้วย
เมื่อผู้ชนะประมูลได้ผูกขาดไปแล้ว ก็ไปยื่นขอแก้ไขสัญญาที่ให้ผลตอบแทนแก่รัฐน้อยลงในภายหลังอีก จึงก่อให้เกิดความร่ำรวยกระจุก จนกระจาย สร้างความร่ำรวยอยู่แก่คนไม่กี่ตระกูล ชาวบ้านทำเหล้าก็ถูกจับกุม ผู้บริโภคหันไปนิยมเหล้าจากต่างประเทศ ภูมิปัญญาการทำเหล้าไทยก็ลดน้อยถอยลงทุกวัน ทั้งๆ ที่ เรามีข้าวที่ดีเลิศ เรามีน้ำที่วิเศษสุด เรามีภูมิปัญญาที่เลือกสรรลูกแป้งที่ใช้หมักข้าว เพื่อเปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาล และแอลกอฮอล์ที่ดี มีสูตรเด็ดมากมายตามท้องถิ่นต่างๆ
พูดตรงๆ เกรงว่ารูปการจะออกมาเหมือนกับการผลิตเหล้า ข้อเรียกร้องของนักวิชาการการแพทย์ คนไข้ คนเจ็บป่วย จะลงเอยด้วยการได้ยารักษาจากกัญชา โดยเตะหมูเข้าปากหมา เหมือนกรณีโรงเหล้า
6. อีกรูปแบบหนึ่ง คือ ให้รัฐวิสาหกิจไปเป็นผู้ผูกขาด
เช่นเดียวกับยาสูบ ที่มีโรงงานยาสูบ มีโรงบ่มใบยาสูบ ผูกขาดในการรับซื้อใบยาสูบจากชาวไร่ยาสูบ
มีการกดราคา และมีการเลือกปฏิบัติทางราคากับชาวบ้าน
โดยอ้างบุหรี่เป็นสินค้าที่ต้องควบคุม จึงต้องให้รัฐวิสาหกิจดำเนินการ
สร้างความร่ำรวยให้กับกรรมการบริหาร เจ้าหน้าที่ และโรงบ่มใบยาสูบ แต่เมื่อคุณภาพไม่พัฒนา เลวลง บุหรี่นอกก็เป็นที่นิยม จนโรงงานบุหรี่ของเราทรุดทรามลงทุกวัน
7. กิจการผูกขาดโดยรัฐ เช่น สนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง ฯลฯ ที่รัฐผูกขาด เราก็ให้รัฐวิสาหกิจเป็นผู้ดำเนินการ แล้วก็มีการผ่องถ่ายอำนาจผูกขาดให้กับเอกชน เช่น ให้คิง เพาเวอร์ ผูกขาดพื้นที่การค้า ดิวตี้ฟรี, ให้ล็อกซเล่ย์ผูกขาดการดูแลความปลอดภัย ฯลฯ
สร้างความร่ำรวยให้เอกชนและเจ้าหน้าที่รัฐ แต่ผู้โดยสาร ทั้งชาวไทยและต่างประเทศเดือดร้อน
ข้อควรพิจารณาเชิงนโยบาย
การจะแยกกัญชาเพื่อเป็นยา และสันทนาการ ดูจะไม่ง่าย
เพราะกัญชาปลูกง่าย เหมาะกับภูมิประเทศและภูมิอากาศของไทย
ถ้าห้าม อย่างไรก็คงมีการปลูก การค้าขายใต้ดิน และก็จะมีเจ้าหน้าที่และผู้มีอิทธิพลร่ำรวยกันอีก
หากจะควบคุมให้มีการผูกขาดในการทำยา ก็จะมีปัญหาตามมามากมาย ดังตัวอย่างข้างต้น เมื่อยอมรับว่ากัญชามีโทษน้อยกว่าบุหรี่และเหล้า เราจะพิจารณาให้กัญชาสามารถนำมาวิจัยและผลิตยาได้โดยมีการแข่งขัน ทั้งรัฐและเอกชน ภายใต้กฎเกณฑ์ที่กำหนดเสมอภาคกัน และต้องยอมรับผลที่อาจมีผู้เล็ดรอดนำกัญชาไปใช้สันทนาการบ้าง ซึ่งปัจจุบันก็มีอยู่แล้ว และมีผลเสียไม่มากเท่ากับเหล้าและบุหรี่
ก้าวต่อไปในอนาคตถึงจะพิจารณาการใช้เพื่อสันทนาการเปิดเสรี เพื่อการผลิตและส่งออกต่างประเทศ
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี