รัฐบาลผมไม่ทำหรอก ประเภทเอาเงินไปแจกเหมือนรัฐบาลก่อน นั่นมันประชานิยมที่เอาเงินไปหาเสียงให้ตัวเอง” คำกล่าวของ นายกฯประยุทธ์ เมื่อครั้งเข้าดำรงตำแหน่งใหม่ๆ โดยแสดงท่าทีชัดเจนว่าจะไมเห็นด้วยและจะไม่ดำเนินนโยบายในรูปแบบของประชานิยม แต่สุดท้ายภายหลังที่บางส่วนของรัฐบาลไปตั้งพรรคการเมืองใหม่กลับมีการทิ้งทวนโครงการด้วยการอัดฉีดเงินเข้าสู่ประชาชนโดยตรง ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือบัตรคนจน โดยใช้งบประมาณกว่า 1.2 แสนล้านบาท โดยได้รับหัวละ 500 บาท ไม่จำกัดการใช้งานเหมือนโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในระยะแรกที่กำหนดให้สามารถใช้จ่ายได้แต่เพียงกับร้านธงฟ้าประชารัฐ หรือร้านที่เข้าร่วมโครงการและมีอุปกรณ์ในการรับชำระเงินผ่านบัตรเท่านั้น
นอกจากนั้นแล้วยังมีแผนงานที่จะอัดฉีดประชาชนรายหัวหลังจากนี้อีกหลายระลอกด้วยการโอนเงินสดเข้าบัตรสวัสดิการ โดยมีกำหนดการแล้วในวันที่ 12 ,14, และ 21 ธันวาคมนี้ ที่จะมีการเติมเงินเข้าสู่บัตรสวัสดิการแห่งรัฐตามเงื่อนไขในเรื่องค่าช่วยเหลือที่อยู่อาศัยรายละ 400 บาท ค่าภาษีมูลค่าเพิ่มที่จะมีการโอนคืนให้กับผู้มีรายได้น้อยอีกคนละไม่เกิน 500 บาท และค่าเดินทางในการรักษาพยาบาทอีกหัวละ 1,000 บาท ซึ่งแม้จะมีการตั้งเงื่อนไขต่างๆว่าต้องเข้าเงื่อนไขอย่างไรบ้างก็ตาม แต่ที่สุดแล้วก็ยังข้ามไม่พ้นคำถามว่าการให้เงินช่วยเหลือเช่นนี้ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งเป็นการใช้นโยบายประชานิยมเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ใดหรือไม่?
เพราะขณะที่ฝั่งพรรคการเมืองเดิมยังไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างเต็มที่แม้ว่าจะมีการปลดล็อกการทำกิจกรรมทางการเมืองแล้วก็ตาม แต่ยังมีกติกาอีกมากมายที่ยังทำให้พรรคการเมืองไม่ได้เคลื่อนไหวได้อย่างสะดวกนัก ทั้งในเรื่องของกรอบเวลาการหาเสียงเลือกตั้ง ความไม่ชัดเจนในเรื่องของบัตรเลือกตั้ง และการแบ่งเขตเลือกตั้งที่ยังเป็นที่ถกเถียงอยู่
อย่างไรก็ตามก็ยังมีพรรคการเมืองที่เป็นนักเลือกตั้งมืออาชีพ นักการตลาดมืออาชีพขวนขวายสบช่องหาวิธีจากกฎกติกาที่มีอยู่ พรรคการเมืองบางพรรคจึงเลือกที่จะวางยุทธศาสตร์ที่แปลกออกไป เช่น พรรคเพื่อไทยแชมป์เก่าที่เดิมส่งลงครบทุกเขต แต่มาครั้งนี้
จะส่ง สส.เขตลงเพียง 250 เขต จาก 350 เท่านั้นซึ่งก็เป็นคำถามว่าเหตุใดจึงส่งไม่ครบเหมือนครั้งที่แล้ว?
ไม่ต่างไปจากภูมิใจไทยที่ออกมาประกาศว่าจะส่งตัวผู้สมัครเพียงแค่ในพื้นที่เป้าหมายเท่านั้น เรื่องนี้น่าสนใจเพราะตามความเป็นจริงแล้ว การแข่งขันจริงๆ ต้องแข่งกันเต็มที่ จะชนะหรือแพ้ก็ต้องเต็มที่ในการแข่งขันและแข่งขันกันด้วยกติกาที่เท่าเทียมกัน แต่การเลือกตั้งครั้งนี้กำลังถูกวิจารณ์ว่า มีทั้งการหาช่องโหว่ของกติกา และมีทั้งการพยายามสร้างกติกาให้บางพรรคได้เปรียบหรือไม่?
ที่พูดเช่นนั้น เพราะกฎหมายระบุให้การเลือกตั้งเป็นการเลือกแบบบัตรใบเดียวเลือกทั้งแบบสส.เขต และแบบบัญชีรายชื่อ จึงมีความพยายามของนักกฎหมายบางพรรคที่คิดหาวิธีเพื่อให้ได้คะแนนมากที่สุดจากกติกาที่มีอยู่ เพื่อให้ได้คุมเกมในกระดานเลือกตั้ง โดยไม่สนใจว่าจะต้องใช้วิธีการแบบใด และสร้างผลกระทบในระยะยาวหรือไม่?
ก่อนหน้านี้ มีการตั้งคำถามถึงกลุ่มบุคคลของเพื่อไทย ที่ออกไปตั้งพรรคใหม่ ทั้งเพื่อธรรม เพื่อชาติ ประชาชาติ หรือกระทั่งบางคนมองถึงพรรคอนาคตใหม่ โดยเฉพาะบุคคลสำคัญหลายคนที่ไม่น่าเชื่อเลยว่า จะย้ายออกจากพรรคเพื่อไทย ไปพรรคอื่น เช่น กลุ่มแกนนำเสื้อแดงหลายคน ทั้งนายจตุพร นายณัฐวุฒิ นายพายัพ นายวีรกานต์ นายแพทย์เหวง ตลอดจนกลุ่มวาดะห์ที่นำโดยนายวันมูหะมัดนอร์ จนมาถึงการตั้งพรรคไทยรักษาชาติ ก็เริ่มมีข้อสังเกตที่หนักขึ้นไปอีก ที่มีคนระดับแถวหน้า และถือเป็นคนใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ ลาออกจากพรรคเพื่อไทย มาเป็นสมาชิกไทยรักษาชาติ อย่างนายจาตุรนต์ เป็นต้น
คำถามที่ตามมาก็คือในบรรดาพรรคการเมืองในร่มใหญ่ของพรรคเพื่อไทย ทั้งพรรคเพื่อธรรม เพื่อชาติ ไทยรักษาชาติ มีอุดมการณ์ต่างกันอย่างไร? โดยหากมองไปที่อุดมการณ์ของแต่ละพรรคก็ยังมองไม่เห็นความแตกต่างที่เป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน ตลอดจนเรื่องของทุนที่สนับสนุนพรรคก็ยังมองไม่ออกว่า จะมีแหล่งเงินทุนใหม่ใดให้การสนับสนุนที่แตกต่าง? จนมีหลายคนตั้งข้อสงสัยว่าที่สุดแล้วก็ไม่ใช่พรรคทางเลือกแต่อย่างใด หากแต่เป็นเพียงยุทธศาสตร์ในการขยับขยายเพื่อหวังผลทางการเมืองเท่านั้นใช่หรือไม่? เรื่องนี้อาจเห็นได้จากเครือข่ายตระกูลต่างๆที่แยกพ่อแยกลูกกันไปอยู่คนละพรรค เช่น กรณีของตระกูล ณ ระนอง ที่ลูกชายก็ไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ ขณะที่พ่อยังยืนหยัดจะอยู่ร่วมกับเพื่อไทย ตระกูลนริพทะพันธุ์ ตระกูลพงษ์พานิช ตลอดจนตระกูลชินวัตร เองก็มีท่าทีที่ไม่ต่างกันคือการแยกพ่อแยกลูกออกจากกัน เช่นเดียวกับการเคลื่อนตัวของกลุ่มแกนนำบางคนในพรรคภูมิใจไทย พรรคพลังชล กลุ่มสามมิตร และแกนนำพรรคพลังประชารัฐ ที่ถ้าย้อนไปเมื่อประมาณ 6 เดือนก่อนหน้า หลายคนอาจยังเข้าใจว่า ทั้งหมดจะรวมเป็นพรรคเดียวกัน แต่สุดท้ายแล้วกลับกระจัดกระจายไปตั้งพรรคของตัวเอง ซึ่งสุดท้ายต้องรอดูหลังเลือกตั้งทีเดียวว่าพรรคใดจะจับมือกับใคร?
การแถลงข่าวของพรรคภูมิใจไทยที่ว่าจะไม่ส่งผู้สมัครลงครบทุกเขตเลือกตั้ง ก็สร้างความชัดเจนมากขึ้น ขณะที่พรรคเพื่อไทยก็ประกาศเช่นกันว่าจะส่งลงเพียง 250 เขต ซึ่งหากบริสุทธิ์ใจจริง มีความตั้งใจที่จะแข่งขันทางการเมืองจริง เพียงแต่ไม่พร้อม หรือบุคลากรมีไม่ครบก็เป็นเหตุผลที่พอฟังขึ้น แต่ต้องขอพิสูจน์ ณ วันรับสมัครว่าในเขตที่ไม่ลงนั้น เป็นการจงใจปล่อยพื้นที่ให้พรรคในเครือข่าย อย่างไทยรักษาชาติ หรือประชาชาติลงแทนหรือไม่? หรือเป็นการเปิดทางให้คนที่เคยอยู่พรรคเพื่อไทยไปลงในพรรคเครือข่ายหรือไม่? แต่คำว่าลงแทนก็พิสูจน์ไม่ได้เต็มร้อยว่าเหตุผลป็นเช่นไร แต่การเว้นไม่ส่งคนลงแข่งอาจทำให้สังคมมองได้ว่ามีการ “ฮั้ว” หรือไม่? ซึ่งเรื่องนี้เป็นหน้าที่ของ กกต. และ คสช. ในฐานะผู้ร่างกฎหมาย และผู้กำกับดูแลการเลือกตั้งให้บริสุทธิ์ยุติธรรม ว่าจงใจจะทำให้มีผลเช่นนั้นหรือไม่?
การเลือกตั้งในครั้งนี้มีความซับซ้อนในเรื่องของเทคนิควิธีในการเอาชนะอย่างมาก ทั้งการแสวงหาช่องโหว่ของกติกา และการสร้างกติกาใหม่ที่กำลังถูกตั้งคำถามว่า เป็นกติกาที่เอื้อประโยชน์ให้ใครหรือไม่? ตัวอย่างเช่นเรื่องของการแบ่งเขตเลือกตั้งที่เป็นประเด็นว่าเหตุใดจึงเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่อ้างถึงเรื่องของความสะดวกในการเดินทางของประชาชน ซึ่งดูจะขัดใจพรรคการเมืองเดิมไม่น้อยเนื่องจากการผ่าเขตเลือกตั้งบางส่วนกำลังสร้างภาระให้พรรคการเมืองต้องทำการบ้านเพิ่ม หรืออาจสูญเสียฐานที่มั่นได้ หรือเรื่องของบัตรเลือกตั้งที่กำลังเป็นข้อถกเถียงว่าการใส่ หรือไม่ใส่ชื่อพรรคกำลังสร้างผลกระทบอย่างไรบ้าง โดยได้มีนักวิชาการอย่างอาจารย์ปริญญา ได้ออกมาวิเคราะห์การไม่ใส่ชื่อและโลโก้พรรคไว้อย่างน่าสนใจว่า
“การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยนั้น ไม่ใช่เพียงแค่การเลือกผู้แทนหรือเลือกตัวคน แต่ประชาชนจะต้องมีส่วนในการกำหนดนโยบายของประเทศด้วย โดยประชาชนกำหนดนโยบายประเทศได้โดยการเลือกพรรคการเมืองในวันเลือกตั้ง สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือชื่อพรรคการเมืองที่ผู้สมัครนั้นสังกัด เพื่อให้ประชาชนที่จะเลือกเป็นพรรคหรือเลือกจากนโยบายพรรค การที่ กกต. จะกำหนดให้บัตรเลือกตั้งไม่มีชื่อพรรคการเมือง จึงเป็นเรื่องประหลาดและขัดกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่ให้ความสำคัญกับพรรคการเมืองเป็นอย่างยิ่ง เหตุผลเรื่องจะแก้ปัญหาผู้มีสิทธิเลือกตั้งในต่างประเทศ มีวิธีจะแก้ปัญหาได้ตั้งมากมายหลายวิธี ที่ไม่ใช่การเอาชื่อพรรคการเมืองออกไปอย่างนี้”
เรื่องนี้อาจจะดูเป็นเพียงเรื่องเล็กๆแต่กำลังส่งผลกระทบอย่างมากหากมีเพียงเบอร์เท่านั้น ไม่มีชื่อผู้สมัครและสิ่งบ่งชี้สังกัดพรรคทั้งชื่อ และโลโก้ ซึ่งแม้ว่าโฆษกรัฐบาลจะออกมาพูดว่าการเสนอให้มีการจัดทำบัตรเลือกตั้งในลักษณะดังกล่าวไม่ได้เป็นการเสนอโดยนายกฯ แต่เป็นเรื่องของ กกต. แต่ก็หนีไม่พ้นข้อผูกมัดที่ออกจากปากของกกต.เองว่า บัตรเลือกตั้งแบบนี้เป็นเพียงวิธีการหนึ่งที่เสนอเท่านั้น ก็แสดงให้เห็นว่ากกต. ได้มีการเสนอรูปแบบอีกหลายแบบเพื่อให้ผู้มีอำนาจเลือกอยู่ดี
ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหากกรอบกติกาที่วางมาในเบื้องต้นยังถูกบังคับใช้ไปจนถึงวันเลือกตั้ง ประชาชนที่เคยเชื่อมั่นในการเลือกตั้ง
ว่าจะสร้างประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมจริงๆ อาจจะต้องพบเจอกับความสับสนว่าแท้จริงแล้วต้องกาเบอร์อะไร ในอดีตหากจำไม่ได้ว่า
ผู้สมัครนั้นมาจากพรรคใด? ชื่ออะไร? ก็ยังมีโลโก้พรรคให้นึกได้ว่าจะเลือกพรรคไหน แต่ปัจจุบันไม่มีแล้ว ซึ่งแน่นอนว่า จะสร้างความได้เปรียบให้พรรคการเมืองใหม่ ที่ไม่ต้องสร้างการจดจำในเรื่องของชื่อพรรคใช่หรือไม่? ยิ่งในบางจังหวัดที่มีเขตการเลือกตั้งกว่า 7-10 เขตเลือกตั้ง โดยพื้นที่รอยต่อของแต่ละเขตเลือกตั้งก็ไม่ได้มีเส้นแบ่งที่ชัดเจน ตลอดจนประชาชนบางคนที่อยู่ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการแบ่งเขตเลือกตั้งที่ก้ำกึ่ง เป็นผลให้ป้ายหาเสียง ที่ตั้งอยู่บริเวณรอยต่อบางเขต อาจทำให้เกิดความสับสนของประชาชน ผู้สมัครจังหวัดเดียวกัน พรรคเดียวกัน แต่เป็นคนละหมายเลขก็ได้ ตามกติกาที่วางกรอบให้แต่ละเขตเลือกตั้งต้องใช้เบอร์ของตัวเองโดยไม่ยึดติดกับพรรคต้นสังกัดแต่อย่างใด
ความได้เปรียบและเสียเปรียบจากกติกาที่วางหมากให้สถาบันพรรคการเมืองอ่อนแอ และอาจมองได้ว่าเป็นประโยชน์ให้กับพรรคการเมืองใหม่ที่เต็มไปด้วยนักเลือกตั้งย้ายพรรค และหวังผลอย่างฉาบฉวยเพียงการเลือกตั้งหนึ่งถึงสองสมัยเท่านั้น ซึ่งต้องยอมรับว่าประชาชนส่วนน้อยเท่านั้น ที่จะติดตามข่าวสารและหาข้อมูลจนเข้าใจกติกา และรู้ว่าตัวเองอยู่พื้นที่ใด ความหวังว่ารัฐบาล คสช. และกกต. จะจัดการเลือกตั้งอย่างบริสิทธิ์ยุติธรรม เพื่อหวังผลที่ดีต่อประเทศชาติอย่างที่กล่าวอ้างกำลังถูกท้าทายด้วยกติกาที่ออกมาว่าจะหวังดีกับประเทศชาติจริง หรือเพียงการปูทางไปสู่การสืบทอดอำนาจเท่านั้น?..............
“...วีรบุรุษไม่กลัวตาย ผู้กลัวตายไม่ใช่วีรบุรุษ...”
โกวเล้ง จากเรื่อง ซาเสียวเอี้ย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี