นโยบายแก้ปัญหาเศรษฐกิจช่วงก่อนเลือกตั้ง ด้วยเงินของขวัญ 500 บาท โต๊ะจีนระดมทุน การปราศรัยปลุกระดมมวลชน หากย้อนไป 4 ปีก่อนหน้านี้ คงไม่มีใครคิดว่าเราจะได้เห็นหรือได้ยินสิ่งเหล่านี้ จากแกนนำในรัฐบาลนี้ เพราะสิ่งที่เราคาดหวังจากรัฐบาลชุดนี้ นอกจากจะให้เป็นผู้แก้ปัญหาความขัดแย้ง ก็ยังต้องการให้แก้ปัญหาการเมือง ปัญหาเศรษฐกิจ และลดความเหลื่อมล้ำให้แก่สังคมไทยให้ดีขึ้น ไม่ใช่ให้มีปัญหามากขึ้น
แต่เหตุใดจากผู้แก้ความขัดแย้งกลายเป็นผู้ขัดแย้ง จากมือปราบกลายเป็นผู้ต้องสงสัย จากกรรมการกลางกลายเป็นผู้แข่งขัน จากที่ต้องการปฏิรูปการเมืองกลายเป็นหลงเข้าไปในวังวนการเมืองแบบเดิม อะไรที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง อะไรที่ทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้น
จากผู้แก้ความขัดแย้งกลายเป็นผู้ขัดแย้ง
หลังจากบรรดาตัวแทนจากพรรคต่างๆ ที่เร่งแสดงวิสัยทัศน์ รวมถึงจุดยืนที่แน่ชัดต่อสาธารณชน ไม่เว้นแม้แต่พรรคน้องใหม่อย่างพลังประชารัฐที่เดินสายปรากฏตัวตามสถานที่ต่างๆ มากขึ้น จนล่าสุดที่มีการตั้งเวทีปราศรัยในพื้นที่หัวเมืองใหญ่หลายจุด โดยมีการปราศรัยปลุกกระแสมวลชนถึงว่าเหตุใดต้องเลือกพรรคพลังประชารัฐ เพื่อสนับสนุนพลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯต่อไป ก็ดูจะไม่แปลก แต่เนื้อหาและโวหารของผู้ปราศรัยกลับเน้นไปที่การไล่เลียงเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พร้อมกับกล่าวโจมตีผู้ก่อเหตุในแต่ละฝ่าย และบอกทำนองว่า “ถ้าเลือกพรรคพลังประชารัฐจะไม่เกิดเหตุระเบิดขึ้นอีก” ความจริงแล้ว แกนนำพรรคพลังประชารัฐทั้งหลายที่อยู่ในรัฐบาลชุดนี้ มีโอกาสได้จัดการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองมาตลอด 4 ปี ความคาดหวังของประชาชนคือความคาดหวังที่จะให้แก้ความขัดแย้งทางการเมืองให้สู่ภาวะสงบสุข ไม่ได้คาดหวังที่จะให้เพิ่มผู้ขัดแย้งมาอีกก๊กหรืออีกขั้ว ขณะที่การปราศรัยของหนึ่งในแกนนำพรรคการเมืองหนึ่งที่กล่าวในเวทีปราศรัยที่เพชรบูรณ์ ในทำนองว่า “พลเอกประยุทธ์ไม่ได้เป็นผู้บริหารเศรษฐกิจที่ดี แต่สามารถบริหารความสงบในบ้านเมืองได้” นอกจากสะท้อนการยอมรับถึงความไม่ประสบความสำเร็จในการบริหารเศรษฐกิจแล้ว กำลังเป็นการประกาศนโยบายโดยอ้อมว่าจะเอาการเมืองนำเศรษฐกิจใช่หรือไม่ ? อย่างไรก็ตาม ปัญหาทุกวันนี้ ของประเทศคือเรื่องเศรษฐกิจและเรากำลังเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังจะเป็นต้นตอของปัญหาการเมืองหรือไม่ ?
จากมือปราบกลายเป็นผู้ต้องสงสัย
“เวลาที่ทำอะไรต้องรู้จักความละอายเกรงกลัวต่อบาป ต้องปลูกฝังคนรุ่นใหม่ว่าโตไปไม่โกง และที่พูดว่าโกงนั้นไม่ใช่โกงเฉพาะเงินทอง แต่มีเรื่องการโกงเวลา โกงกฎจราจรต่างๆ ก็ถือว่าโกงทั้งนั้น” พลเอกประยุทธ์กล่าวไว้เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งน่าสนใจ หากเมื่อทบทวนเหตุกาณ์ที่ผ่านมาของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ก็พบว่ารัฐบาลชุดนี้ เด็ดขาดในหลายเรื่องซึ่งน่าชื่นชม โดยเฉพาะการปราบผู้มีอิทธิพล และรวมถึงการปราบทุจริตอย่างจริงจัง อย่างกรณีจำนำข้าวและอีกหลายคดีที่กล้าจัดการอย่างจริงจัง แต่ก็พบว่ายังมีอีกหลายกรณีที่ยังคาใจประชาชน
พรรคการเมืองที่มีแกนนำเป็นรัฐมนตรีอยู่ในรัฐบาลปัจจุบัน? ได้ทำการระดมทุน หาเงินเข้าพรรค ด้วยการจัดคอนเสิร์ตและเลี้ยงโต๊ะจีน กว่า 200 โต๊ะ ซึ่งเมื่อจบงาน รองหัวหน้าพรรค ออกมาสรุปยอดว่าได้ถึง 650 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม เมื่อสื่อ ตรวจสอบรายชื่อผู้บริจาคโต๊ะแล้วก็พบว่าบางกรณีมีบุคคล หรือหน่วยงานที่ต้องสงสัยว่าอาจมีความเกี่ยวข้องกับหน่วยงานของรัฐร่วมบริจาคด้วยหรือไม่ ? ซึ่งเรื่องนี้ต้องการการตรวจสอบ แต่สิ่งที่ประชาชนสนใจมากกว่าคือท่าทีของรัฐบาลต่อเรื่องนี้ว่าจะวิจารณ์จะพูดจะจัดการอย่างไร ซึ่งถือเป็นการท้าทายการใช้อำนาจของ กกต. ในการจัดการเรื่องนี้อีกด้วย
จากกรรมการกลางกลายเป็นผู้แข่งขัน
ท่าทีของพลเอกประยุทธ์ จากผู้อาสามาเบรกสงครามในประเทศระหว่างสองขั้วทางการเมือง แต่มาวันนี้ ประกาศตัวเป็นนักการเมืองแบบเต็มตัว มีคนรอบตัว รอบครม. มาเป็นแกนนำก่อตั้งพรรคการเมืองคู่ขนานกับการบริหารประเทศ ของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ที่ล่าสุด มีการทิ้งทวนโครงการด้วยการอัดฉีดเงินเข้าสู่ประชาชนโดยตรง ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐใช่หรือไม่? อาทิ แจกเงินช่วงปีใหม่ 500 บาท ? แจกเงินสำหรับการเดินทางสำหรับผู้สูงอายุ 1,000 บาท ? ซึ่งบัตรสวัสดิการแห่งรัฐนี้เอง แม้จะเป็นนโยบายของรัฐบาลชุดนี้ แต่กลับถูกมองว่าอาจนำไปใช้หาเสียงโดยพรรคการเมืองที่มีกรรมการบริหารพรรคดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดปัจจุบันหรือไม่ ? อย่างกรณีผู้สมัครสส.จังหวัดขอนแก่น จากพรรคพลังประชารัฐที่มีข่าวไปร่วมแจกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ? รวมถึงจากที่พบได้ตามสื่อต่างๆ ที่นำเสนอ ข้อสงสัยว่าเหตุใดพรรคพลังประชารัฐจงใจเปิดรับสมัครสมาชิกพรรคในเวลาไล่เลี่ยกันกับวันที่แจกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพราะอาจทำให้เกิดความสับสนของประชาชน ในเงื่อนไขการรับบัตรและเงื่อนไขการเป็นสมาชิกพรรค จนอาจถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสม ด้วยหรือไม่ ?
จากที่ต้องการปฏิรูปการเมืองกลายเป็นหลงเข้าไปในวังวนการเมืองแบบเดิม
คสช.นับแต่วันรัฐประหารรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็ประกาศชัดเจนว่าจะปฏิรูปประเทศ ปฏิรูปการเมือง ปฏิรูปเศรษฐกิจ ปฏิรูปตำรวจ โดยตั้งทั้งสปช.และสปท. แต่มาถึงวันนี้ การปฏิรูปตำรวจยังไม่มีอะไรคืบหน้า การปฏิรูปเศษฐกิจกำลังถูกมองว่าถอยหลัง โดยเอารัฐราชการมาบริหารเศรษฐกิจ และที่สำคัญการปฏิรูปการเมืองที่จบลงด้วยการลดอำนาจการเมืองภาคประชาชน ลดอำนาจท้องถิ่น และไปเพิ่มอำนาจให้กับระบบราชการแทน รวมถึงการลดความเข้มแข็งทางการเมือง โดยการทำให้พรรคการเมืองอ่อนแอลง ก็ถูกตั้งข้อสงสัยด้วย
ด้วยความคาดหวังของประชาชนว่าจะเจอการเมืองแบบใหม่ การเมืองหน้าใหม่ ก่อนจะจบท้ายด้วยการตั้งพรรคการเมืองใหม่ของแกนนำในครม.พลเอกประยุทธ์ ซึ่งไม่ผิดแปลกอะไร หากพรรคการเมืองใหม่ จะดำเนินยุทธวิธีแบบใหม่ และสร้างนักการเมืองหน้าใหม่จริง แต่กลับกลายเป็นว่าพรรคการเมืองใหม่ดำเนินยุทธวิธีแบบเดิมๆ ในการตั้งกลุ่มก๊วนภายในพรรคแบบวิถีพรรคการเมืองเดิม รวมถึงเหตุใดจึงกลายเป็นที่รวมศูนย์ของนักการเมืองหน้าเก่านับร้อยชีวิต ที่มาร่วมโดยไม่รู้วิธีว่าเข้ามาโดยวิธีใด
“...หากคนใดมีความต้องการขอร้อง มิว่าผู้ใดต่างมีขวัญเข้มแข็งกว่าเดิม...”
โกวเล้ง จากเรื่องฤทธิ์มีดสั้น
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี