ความรุนแรงที่เกิดในสามจังหวัดภาคใต้ ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และพื้นที่ติดต่อบางส่วนของจังหวัดสงขลา ตลอดเวลา 15 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตไปแล้วเกือบ 7,000 คน ได้รับบาดเจ็บกว่า 13,000 ราย ความรุนแรงอันเนื่องมาจากผู้ก่อความไม่สงบ ก่อเหตุร้ายได้ทุเลาเบาบางลงไปอย่างมีนัยในห้วงเวลาสี่ปีที่ผ่านมา แต่จู่ๆ หลังปีใหม่ความโหดร้ายป่าเถื่อนหวนคืนกลับมา ทำให้นักวิเคราะห์ทางการเมืองและผู้ที่เคยมีส่วนในการสร้างความสงบสุขชายแดนใต้ มีความเห็นตรงกันว่า “มันเป็นการดิ้นรนเฮือกสุดท้ายของกลุ่มผู้ร้ายทางการเมืองทุนสามานย์”
ผู้ก่อความไม่สงบเปิดฉากก่อกวนครั้งใหม่ในปีเลือกตั้ง 2562 ด้วยการวางระเบิดรูปปั้นนางเงือกสัญลักษณ์แหล่งท่องเที่ยวจังหวัดสงขลา ตามมาด้วยการฆ่าแขวนคอครูนอกราชการปล้นรถยนต์ไปทำคาร์บอมบ์ ปล้นอาวุธปืนสังหารโหดชุดคุ้มครองหมู่บ้าน 4 คน ในโรงเรียนขณะที่กำลังมีงานวันเด็กและล่าสุดเมื่อคืนวันที่ 18 ม.ค. ระดมยิงฆ่าพระสงฆ์สามรูปอย่างโหดร้ายทารุณ
ปฏิบัติการอุกอาจโหดเหี้ยมทั้ง 3 เหตุการณ์ คนร้ายแต่งตัวคล้ายทหารเพื่อให้เข้าใจผิดว่าเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ในกรณีบุกฆ่าพระครูประโชติ รัตนานุรักษ์ เจ้าคณะอำเภอสุไหงปาดี และเป็นเจ้าอาวาสวัดรัตนานุภาพ มรณภาพพร้อมพระลูกวัดรวม 3 รูป เมื่อคนร้ายไปถึงที่เกิดเหตุพระครูประโชติ คงเข้าใจว่าเป็นทหารถึงพูดว่า “โยมเข้ามาในวัดยามวิกาลทำไมไม่บอกกล่าวล่วงหน้า...” พระพูดยังไม่ขาดคำ เอ็ม 16 หลายกระบอกระดมยิงเข้ากุฏิจนเจ้าอาวาสและพระลูกวัดมรณภาพ
การฆ่าพระสงฆ์ที่มีวัดอยู่ท่ามกลางชุมชนมุสลิมทำให้เกิดคำถามว่า นี่เป็นการขัดแย้งทางเชื้อชาติศาสนาหรือว่าเป็นเรื่องการเมือง แหล่งข่าวด้านความมั่นคงในภาคใต้กล่าวว่า เป็นการแก้แค้นของผู้ก่อความไม่สงบเพราะเมื่อวันที่ 11 ม.ค. ที่อิหม่ามในจังหวัดนราธิวาสคนหนึ่งถูกยิงตาย แต่อดีตนายทหารผู้มีส่วนสำคัญในการเจรจาเพื่อสันติภาพชายแดนใต้ให้ความเห็นว่า
“นี่ไม่ใช่การแก้แค้นหรือขัดแย้งทางศาสนา แต่เป็นเรื่องของกลุ่มการเมืองที่ควบคุมกลุ่มคนร้ายสร้างสถานการณ์เสี้ยมให้เกิดความแตกแยกวุ่นวายมากขึ้น” นายทหารนอกราชการกล่าวเสริม ว่ากลุ่มการเมืองทุนสามานย์ที่มีอิทธิพลเหนือกลุ่มคนร้าย สั่งการให้สมุนบริวารก่อกวนสร้างความวุ่นวาย ขัดขวางไม่ให้เกิดการเจรจารอบใหม่ระหว่างผู้แทนของรัฐบาลไทยกับผู้แทนกลุ่มคนร้ายไม่ให้เกิดขึ้นได้ก่อนเลือกตั้ง
“กลุ่มการเมืองที่ควบคุมกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ ยังมีความหวังว่าฝ่ายทุนสามานย์จะชนะการเลือกตั้งและได้เป็นรัฐบาล ดังนั้นการเจรจาจะมีขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อฝ่ายทุนสามานย์ได้เป็นรัฐบาลและวางเงื่อนไขในการเจรจา คือพวกเขาจะเป็นทั้งผู้แทนรัฐบาลไทยและสมุนบริวารในเครือข่าย เป็นผู้แทนฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบ ที่รู้จักทั่วไปว่ากลุ่มบีอาร์เอ็น..”
แหล่งข่าวที่ช่ำชองกับเหตุการณ์ร้ายในสามจังหวัดภาคใต้กล่าวด้วยว่า กลุ่มผู้ก่อความสงบที่ถูกกล่าวอ้างขึ้นมาไม่มีตัวตนและองค์กรนำที่แท้จริง ทุกกลุ่มทุกฝ่ายล้วนเป็นผู้ก่อการร้ายรับใช้การเมือง เขาชี้ให้เห็นว่าจุดเริ่มต้นของเหตุร้ายที่เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลไทยรักไทยเมื่อต้นปี 2547 ซึ่งเริ่มจากการปล้นปืนอาสาสมัครชุดคุ้มครองหมู่บ้าน แล้วเติบใหญ่แข็งกล้า มาเป็นปล้นปืนค่ายทหาร ฆ่าทหารสี่คนตาย ได้ปืนและอาวุธหนักไปกว่าสามร้อยกระบอก แต่ไม่มีกลุ่มไหนออกมาแสดงความรับผิดชอบ ซึ่งต่างกับองค์กรก่อการร้ายทั่วไปที่มักออกมาโอ้อวดผลงาน ฝ่ายมั่นคงเวลานั้นก็ประเมินเหตุการณ์ว่าน่าจะเป็นฝีมือกลุ่มพูโล กลุ่มมูจาฮีดีน กลุ่มเบอร์ซาตู กลุ่มบีอาร์เอ็น ฯลฯ
เดาสุ่มกันจนเหตุการณ์บานปลายออกไป จึงได้สรุปว่าผู้นำกำลังปล้นค่ายทหารคือ มะแซ อุเซ็ง และผู้นำฝ่ายการเมืองประธานกลุ่มบีอาร์เอ็น คือนายสะแปอิง บาร์ซอครูใหญ่โรงเรียนสอนศาสนาในจังหวัดยะลา แต่กว่าดีเอสไอจะออกหมายจับได้ ผู้ต้องหาทั้งสองรายหนีหายไปในมาเลเซีย แล้วทางการจึงรู้ว่าแกนนำบีอาร์เอ็น เป็นสมาชิกคนสำคัญของพรรคไทยรักไทยซึ่งเป็นรัฐบาลบริหารประเทศในเวลานั้น
สิบห้าปีแห่งความวิบัติสามจังหวัดภาคใต้ ชื่อกลุ่มบีอาร์เอ็น ถูกนำมาอ้างว่าเป็นกลุ่มคนร้ายที่รับผิดชอบความรุนแรงในพื้นที่สีแดง อดีต สส. และนักการเมืองท้องถิ่นของพรรคไทยรักไทยหลายคนเคยถูกดำเนินคดีข้อหาก่อการร้ายแต่สุดท้ายศาลยกฟ้อง และตลอดเวลาสิบห้าปียังไม่มีใครออกมาแสดงตัวว่าเป็น บีอาร์เอ็น หรือแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุร้ายที่เกิดขึ้น จึงอนุมานว่ากลุ่มก่อการร้ายที่ต่อสู้เพื่อแบ่งแยกดินแดน และนักรบเพื่อศาสนาไม่มีตัวตนจริง และเชื่อว่ากลุ่มที่ก่อกวนสร้างความวุ่นวายคือคนร้ายที่รับใช้นักการเมือง หรือไม่ก็เป็นกลุ่มก่อการร้ายที่ใช้คุ้มครองธุรกิจผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นยาเสพติด น้ำมันเถื่อน ค้ามนุษย์ ฯลฯ
ดังนั้นเมื่อดร.มหาเธร์ นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย แต่งตั้งผู้อำนวยความสะดวกในการเจรจาคนใหม่และแนะนำให้รัฐบาลไทยจัดตั้งเขตปกครองพิเศษในจังหวัดภาคใต้ที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิม กลุ่มการเมืองทุนสามานย์ที่ควบคุมกลุ่มคนร้ายปล่อยให้การเจรจาเกิดขึ้นไม่ได้จนกว่าฝ่ายทุนสามานย์จะได้เป็นรัฐบาลและจัดการเรื่องเจรจาเอง “เวลานี้กลุ่มการเมืองทุนสามานย์ได้เริ่มเกมการเมืองในฝั่งมาเลเซียแล้ว คนสองสัญชาติและคนไทยที่ทำงานผิดกฎหมายอยู่ในมาเลเซียนับแสนคนกำลังถูกชักชวนให้เป็นสมาชิกกลุ่มการเมืองทุนสามานย์ ผมยังแปลกใจว่าดร.มหาเธร์ ปล่อยให้กลุ่มการเมืองจากประเทศไทยไปเคลื่อนไหวหาเสียงหาสมาชิกพรรคในประเทศมาเลเซียได้อย่างไร” แหล่งข่าวระดับสูงกล่าว
แหล่งข่าวกล่าวว่ากลุ่มการเมืองทุนสามานย์ใช้หลักการแบ่งแยกแล้วปกครองในภาคใต้เหมือนกับที่ใช้ในส่วนกลาง กล่าวคือในส่วนกลางกลุ่มการเมืองทุนสามานย์ดึงอดีตคอมมิวนิสต์ที่มีแนวคิดล้มเจ้ามาเป็นสมุนบริวาร ในภาคใต้พวกเขาดึงพวกที่มีแนวคิดแบ่งแยกดินแดนแบ่งแยกศาสนามาเป็นพวกเป็นสมุนบริวาร กลุ่มการเมืองทุนสามานย์ใช้หลักแก้วสามประการเหมือนกันคือ 1 พรรค 2 มวลชน 3 กองกำลังติดอาวุธเป็นฐานอำนาจ “ในส่วนกลางมวลชน และกองกำลังติดอาวุธใกล้ล่มสลาย แต่ในสามจังหวัดชายแดนใต้กองกำลังติดอาวุธยังใช้เป็นอำนาจต่อรองได้”
อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์การเมืองและความมั่นคงผู้คุ้นเคยกับสถานการณ์ชายแดนใต้ ประเมินว่านี่เป็นการดิ้นรนเฮือกสุดท้ายของฝ่ายการเมืองทุนสามานย์ เพราะปฏิบัติการร้ายถูกต่อต้านจากทุกฝ่าย ทางสำนักจุฬาราชมนตรีประณามความรุนแรงต่อพระและประชาชน ขณะทหารย้ำการเจรจาดับไฟใต้เดินหน้าต่อไป สำนักจุฬาราชมนตรีได้ออกแถลงการณ์ว่า “การใช้ความรุนแรงอย่างไร้ขอบเขต โดยไม่คำนึงถึงประชาชนผู้บริสุทธิ์ ไม่ว่าจะเป็น เด็ก สตรี ผู้สูงวัย และผู้นำศาสนา เป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรมและละเมิดกับหลักธรรมคำสอนของทุกศาสนาอย่างร้ายแรง สำหรับศาสนาอิสลามนั้นถือเป็นบาปใหญ่ที่พระผู้เป็นเจ้าจะลงโทษผู้กระทำการเยี่ยงนี้ก่อนสิ่งอื่นใดในวันพิพากษา”
“การโจมตีที่โหดร้ายต่อพระของผู้ก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนใต้ของไทย เป็นเรื่องป่าเถื่อน และเป็นอาชญากรรมสงคราม ต้องมีการนำตัวผู้ก่อเหตุมาลงโทษ” แบรด อดัมส์ ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชีย ฮิวแมนไรท์ วอทช์ กล่าวในแถลงการณ์ “ไม่มีความชอบธรรมใดๆ สำหรับการก่อเหตุอย่างจงใจ เพื่อทำร้ายพลเรือนทั้งชาวพุทธและมุสลิมในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา”
นายรอมฎอน ปันจอร์ บรรณาธิการศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ วิเคราะห์สถานการณ์ว่า “การโจมตีในช่วงต้นเดือนมกราคมที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมีรูปแบบชัดเจนว่าโจมตีพื้นที่พลเรือน หรือเป้าหมายที่อ่อนแอ “สะท้อนถึงขีดความสามารถทางการทหารต่ำ แต่หวังผลสูง.....หวังผลในทางจิตวิทยาและทางการเมือง”
กลุ่มการเมืองในชายแดนใต้ไม่มีใครพูดถึงเหตุร้ายที่เกิดขึ้น แต่ ร.ท.หญิงสุณิสา ทิวากรดำรง รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นกับพระสงฆ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่า ถึงเวลาแล้วที่กองทัพควรกลับไปทุ่มเททำงานของตัวเองที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่มาเล่นการเมืองเพื่อช่วยใครสืบทอดอำนาจ “ประเมินจากปฏิกิริยาของทุกฝ่าย ประกอบกับการรับรู้ข่าวสารที่รวดเร็วของสังคมยุคใหม่ จึงทำนายว่านี่เป็นการดิ้นรนเฮือกสุดท้ายและเป็นความพ่ายแพ้ครั้งสุดท้ายของฝ่ายการเมืองทุนสามานย์” แหล่งข่าวสรุป
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี