ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อดีตประธานรัฐสภา ผู้ได้ฉายา “วีรบุรุษประชาธิปไตย” ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี และประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ระบุ ร่างพ.ร.บ.สำนักงานสลากกินแบ่งฯ ที่รัฐบาลนำเข้าพิจารณาใน สนช. นอกจากจะไม่แก้ปัญหาการขายสลากกินแบ่งรัฐบาล (ลอตเตอรี่) แพงเกินราคาแล้ว ยังมอมเมาประชาชน
การเสนอกฎหมายขออำนาจจากฝ่ายนิติบัญญัติ ให้ฝ่ายบริหาร (สนง.สลากกินแบ่งฯ) สามารถออกผลิตภัณฑ์สลาก (ซึ่งเป็นการพนันประเภทหนึ่ง) ในรูปแบบและวิธีการที่ยั่วยุ เย้ายวนผู้บริโภคอย่างไรก็ได้ เป็นสิ่งไม่สมควร ยิ่งไปกว่านั้น ยังยกอำนาจให้ สนง.สลาก และ ครม.สามารถกำหนดส่วนแบ่งรายได้ว่าจะกำหนดเป็นรางวัล จะเข้าแผ่นดิน หรือให้ สนง.สลากแจกจ่ายผู้ค้าเป็นค่าการตลาดเท่าไหร่ก็ได้
ทั้งหมดนี้ เป็นการยกอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติให้แก่ฝ่ายบริหารลอยๆ เสมือนให้เช็คเปล่าไปเติมจำนวน วันที่ และผู้รับเอาเอง
ดร.อาทิตย์เห็นว่า เกือบ 5 ปีของการบริหารสลากกินแบ่งที่ล้มเหลว การเพิ่มจำนวนสลากจาก 37 ล้านฉบับต่องวด เป็น 90 ล้านฉบับต่องวด แล้วยังเอาเงินที่แผ่นดินควรได้ไปให้ผู้ค้าสลากเพิ่มขึ้นอีก 5% ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาการขายสลากเกินราคาได้
มหาวิทยาลัยรังสิต และองค์กรพัฒนาเอกชน 4 องค์กร มีข้อเสนอการแก้ปัญหาด้วยการซื้อ-ขายตรง ระหว่างผู้บริโภคกับสำนักงานสลากฯ โดยใช้เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าในปัจจุบัน คือ ผ่านแอพพลิเคชั่น และไม่ต้องแก้ไข พ.ร.บ.สำนักงานสลากกินแบ่งฯ อีกด้วย
รายละเอียดของหนังสือทักท้วง มีประเด็นน่าสนใจ ดังต่อไปนี้
1. ปัญหาเรื่องการจำหน่ายสลากกินแบ่งฯ มีการขายสลากกินแบ่งฯเกินราคาที่กำหนด แม้สำนักงานสลากกินแบ่งฯ จะได้เพิ่มจำนวนสลากจากงวดละ 37 ล้านฉบับ เป็น 90 ล้านฉบับ และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะได้ออก
คำสั่งที่ 11/2558 ให้ลดรายได้ของการจำหน่ายสลากกินแบ่งฯ ที่เคยแบ่งให้เป็นรายได้ของแผ่นดิน 28% เหลือเพียง 20% แล้วนำรายได้แผ่นดินส่วนที่ลดลงไปให้สำนักงานสลากกินแบ่งฯ เพื่อไปจัดสรรเพิ่มค่าการตลาดให้แก่ผู้ค้าสลากกินแบ่งฯ จำนวน 5% และเข้ากองทุนพัฒนาสังคม 3%
แต่มาตรการดังกล่าวก็ไม่บรรลุผล ยังมีการขายสลากกินแบ่งฯ ในราคาแพงอยู่เช่นเดิม รัฐบาลกลับสูญเสียรายได้ของแผ่นดินปีละประมาณ 10,000 ล้านบาท ไปเปล่าๆ เนื่องจากพฤติกรรมของผู้ซื้อที่มีมายาคติเชื่อว่าเลข 6 หลักที่เรียงกันหรือเหมือนกันมีโอกาสถูกรางวัลน้อย แต่เลขเด็ดที่มีผู้ทรงอิทธิพลใบ้หวยหรือผู้มีอำนาจมีความสัมพันธ์กับเลขนั้น เช่น เลขทะเบียนรถยนต์นายกรัฐมนตรี จะมีโอกาสถูกรางวัลมากกว่า
คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 11/2558 เรื่อง มาตรการแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาล ที่ใช้เพื่อลดรายได้แผ่นดินนำมาเพิ่มให้แก่การจัดจำหน่ายดังกล่าว มีข้อความในข้อ 13. ว่า เมื่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติสิ้นสุดลง ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญแล้ว……….. ให้คำสั่งนี้เป็นอันยกเลิก
การพิจารณาแก้ไข พ.ร.บ.สำนักงานสลากกินแบ่งฯ ให้ลดรายได้ของแผ่นดิน แต่นำไปเพิ่มให้สำนักงานสลากกินแบ่งฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายและกำไรแก่ผู้จัดจำหน่าย ในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นอีก 5% เป็นการถาวร จึงเป็นสิ่งที่ไม่สมควร เพราะ
1.1 การเพิ่มค่าการตลาดและกำไรให้ผู้จำหน่าย โดยที่รัฐสูญเสียรายได้ของแผ่นดินปีละเกือบ 10,000 ล้านบาท ไม่มีผลที่หยุดการขายสลากกินแบ่งฯ เกินราคา
1.2 ข้ออ้างว่าไม่ได้ปรับเปอร์เซ็นต์ค่าการตลาดมานานหลายปีแล้ว รับฟังไม่ได้ เพราะในความเป็นจริงราคาสลากกินแบ่งฯ
ได้เพิ่มขึ้นจากเดิม 10 บาท มาเป็น 80 บาท แม้จำนวนเปอร์เซ็นต์จะคงเดิม แต่เมื่อราคาสลากกินแบ่งฯ แพงขึ้น 8 เท่าตัว
ค่าการตลาดในแต่ละใบก็ได้รับมากขึ้นถึง 8 เท่าตัวด้วยอยู่แล้ว
1.3 การเพิ่มทั้งจำนวนสลากกินแบ่งฯ ในแต่ละงวดจาก 37 ล้านฉบับ เป็น 90 ล้านฉบับ ทำให้ค่าการจัดจำหน่ายที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลได้รับสูงขึ้นอย่างมาก เป็นการเปิดโอกาสให้ฝ่ายบริหารและรัฐบาลในอนาคตสามารถผันแปรไปใช้ตามความต้องการของตน เพราะฝ่ายนิติบัญญัติได้ไปเพิ่มรายรับไว้ให้เป็นการถาวรแล้ว
ด้วยเหตุผลดังกล่าว สภานิติบัญญัติแห่งชาติและกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฯดังกล่าว จึงไม่ควรเห็นชอบตามข้อเสนอของฝ่ายบริหาร
2. สลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นกิจการพนัน ที่รัฐบาลและสังคมไทยในอดีต เห็นว่าเป็นกิจการที่เมื่อเกิดแล้วเลิกได้ยาก และยังคงมีประโยชน์อยู่บ้างที่สร้างความหวังให้กับคนมีรายได้น้อย จึงได้จำกัดจำนวนสลากและรูปแบบของการออกสลากกินแบ่งฯ ไม่ให้ยั่วยวนและยั่วยุจูงใจให้ประชาชนบริโภคมากขึ้น
แต่ร่าง พ.ร.บ.สำนักงานสลากกินแบ่งฯ ที่พิจารณาในสภานิติบัญญัติแห่งชาติในขณะนี้ เป็นร่างที่ให้อำนาจฝ่ายบริหารในการ “กำหนดประเภทและรูปแบบสลากกินแบ่งรัฐบาลโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี” อย่างไรก็ได้
เสมือนให้เช็คเปล่าแก่ฝ่ายบริหารจะไปกรอกจำนวนเงินและวันที่เอาเอง ดังที่ปรากฏในมาตรา 7 (7/1)
ข้ออ้างที่ว่า ข้อเสนอของคณะกรรมการบริหารสำนักงานสลากกินแบ่งฯ จะต้องถูกคณะรัฐมนตรีอนุมัติอีกชั้นหนึ่งก็น่าเป็นการถ่วงดุลแล้ว ในความเป็นจริง รัฐบาลจะให้สำนักงานสลากกินแบ่งฯ เสนอเรื่องให้คณะรัฐมนตรีอนุมัติ จึงเท่ากับว่า พ.ร.บ.ที่แก้ไขครั้งนี้ ฝ่ายนิติบัญญัติจะยกอำนาจและขอบเขตการดำเนินงานให้ฝ่ายบริหารทั้งหมด
ยิ่งกว่านั้น ปัจจุบันสำนักงานสลากกินแบ่งฯ เป็นผู้ดำเนินการผลิตและกำหนดแผนการจำหน่ายจ่ายแจกด้วยตนเอง ขาดหน่วยงานหรือองค์กรกำกับตรวจสอบและประเมินผลงาน เท่ากับว่าผู้ประกอบการที่มีอำนาจผูกขาดดำเนินการเอง กำกับตรวจสอบเอง
3. พ.ร.บ.สำนักงานสลากกินแบ่งฯ ที่พิจารณาในสภานิติบัญญัติแห่งชาติยังได้ระบุที่จะให้ฝ่ายนิติบัญญัติยกอำนาจการจัดสรรรายรับให้เป็นดุลพินิจของสำนักงานสลากกินแบ่งฯ ดังปรากฏในมาตรา 7 (7/2) ที่ให้อำนาจ “การกำหนดอัตราเงินที่จัดสรรเป็นรายได้แผ่นดินตามมาตรา 22 (2) และค่าใช้จ่ายในการบริหารงานตามมาตรา 22 (3)” เป็นของสำนักงานสลากกินแบ่งฯ และฝ่ายบริหารอีกด้วย
หากอนาคตประเทศไทยได้ผู้บริหารประเทศที่ฉวยโอกาสนำเงินส่วนแบ่งรายได้ไปใช้เพื่อประโยชน์ในการสร้างความนิยม ดังเช่นที่เคยเกิดแล้วในอดีต ก็จะเป็นปัญหาแก่ประเทศชาติและสังคม
4. พ.ร.บ.สำนักงานสลากกินแบ่งฯ ได้ยกเลิกกองทุนพัฒนาสังคม ซึ่งก่อตั้งตามคำสั่งของ คสช.ที่ 11/2558 โดยนำเงินรายได้จำนวน 3% ของรายรับ มาสร้างมาตรการเพื่อยับยั้งและป้องกันเด็ก เยาวชน และคนทั่วไปไม่ให้ติดการพนัน ขณะที่ในประเทศที่พัฒนาแล้วกิจการที่ไม่พึงปรารถนาเหล่านี้ จะถูกนำรายได้ที่ผู้บริโภคจ่ายส่วนหนึ่งมาเป็นกองทุนเพื่อพัฒนาเยียวยาสังคม
5. สำหรับมาตรา 14 ของ พ.ร.บ.สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลที่ให้เพิ่มข้อความ ห้ามและลงโทษผู้จำหน่ายสลากกินแบ่งฯ ในสถานศึกษาและบริเวณที่ใช้สำหรับสถานศึกษา อีกทั้งห้ามจำหน่ายแก่บุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ นั้นเป็นทิศทางที่ควรได้รับการยอมรับแต่การจะกำหนดโทษสูงแล้วไม่มีมาตรการในการบังคับใช้กฎหมายอาจไม่บรรลุผล
การเลือกใช้การป้องกันด้วยเทคโนโลยีที่สามารถป้องกันเยาวชนซื้อสลากกินแบ่งฯ ดูจะมีประสิทธิภาพดีกว่า ดังที่จะกล่าวในข้อถัดไป
6. ด้วยเทคโนโลยีระบบดิจิทัล ได้พัฒนาก้าวไกลอย่างมาก รัฐบาลและสำนักงานสลากกินแบ่งฯ น่าจะสามารถสร้างระบบแอพพลิเคชั่นที่เอื้ออำนวยให้ผู้ซื้อสลากกินแบ่งฯ สามารถซื้อสลากได้โดยตรงจากสำนักงานสลากกินแบ่งฯ
ซึ่งแอพพลิเคชั่นสามารถประหยัดค่าบริหารจัดการ การพิมพ์ การขนส่ง การจัดจำหน่ายที่มีต้นทุนสูงถึง 12% และจะเพิ่มเป็น 17% ของรายได้จากสลากกินแบ่งฯ ตามร่างที่ขอแก้ไขพระราชบัญญัติฉบับนี้ การใช้แอพพลิเคชั่นจะมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพียงน้อยนิด
แอพพลิเคชั่นสามารถให้ผู้ซื้อเลือกเลขสลากกินแบ่งฯ เหมือนกับการเลือกใบสลากกินแบ่งฯ ที่เป็นกระดาษ เมื่อเลือก
และซื้อแล้วสลากกินแบ่งฯ ใบนั้นจะหมดไป ผู้อื่นซื้อซ้ำไม่ได้
มีการระบุเลขบัตรประจำตัวประชาชน 13 หลักของผู้ซื้อ ทำให้สามารถจ่ายรางวัลไม่ผิดคน และสามารถป้องกันเด็ก เยาวชน ซื้อสลากกินแบ่งฯ ได้
สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลสามารถรวบรวมข้อมูลของผู้ซื้อเพื่อเข้าใจลักษณะ เพศ อายุ สถานที่ของผู้ซื้อสลากได้จากการระบุเลขบัตรประจำตัวประชาชน
ในระยะเริ่มแรกที่ผู้ซื้อบางแห่ง บางราย ยังไม่พร้อมสำหรับการใช้แอพพลิเคชั่น อาจมีคนขายสลากกินแบ่งฯ
ที่ใช้แอพพลิเคชั่นในการเดินเร่ขายร่วมด้วย
การใช้ระบบซื้อขายโดยตรงระหว่างผู้บริโภค และสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลด้วยแอพพลิเคชั่นไม่ใช่ระบบหวยออนไลน์เหมือนในอดีต ที่มีบริษัทคนกลางมีเครื่องออนไลน์ไว้จำหน่าย
การใช้ระบบแอพพลิเคชั่นไม่ต้องแก้ พ.ร.บ.สำนักงานสลากกินแบ่งฯ ก็สามารถดำเนินการได้เพียงแต่เปลี่ยนสลากกินแบ่งฯ ที่เป็นกระดาษเป็นรูปภาพในแอพพลิเคชั่น ซื้อ-ขาย สะดวก ควบคุมได้และยังประหยัดค่าใช้จ่ายการจัดจำหน่าย นำมาเป็นกองทุนเพื่อส่งเสริมพัฒนาอาชีพผู้พิการ และคนขายสลากรายเล็ก หรือจะจัดสรรเป็นรายได้ของแผ่นดิน หรือเป็นรางวัลเพิ่มให้แก่ผู้ถูกรางวัลก็ได้
รายละเอียดของระบบ ที่ให้ผู้บริโภคซื้อตรงจากสำนักงานสลากกินแบ่งฯ ปรากฏในเอกสารข้อเสนอการปฏิรูประบบจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาล โดยมหาวิทยาลัยรังสิตและองค์กรพัฒนาเอกชน 4 องค์กร ที่แนบมาพร้อมนี้
ขอแสดงความนับถืออย่างยิ่ง
(ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์)
อธิการบดี มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี