เป็นที่เข้าใจกันดีว่า การเมืองมีอยู่ 2 รูปแบบ หรือ 2 ระบอบเท่านั้น คือระบอบเผด็จการ กับ ระบอบประชาธิปไตย ซึ่งใน 2 รูปแบบดังกล่าวนี้ ระบอบเผด็จการจะเป็นรูปแบบที่ประชาชนจะเป็นฝ่ายถูกปกครอง ส่วนระบอบประชาธิปไตยนั้น ประชาชนจะปกครองตนเอง และมีฐานะเหมือนนายจ้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
ประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน เพราะฉะนั้นหลักการดังกล่าว รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง จึงมีฐานะเป็นลูกจ้างของประชาชน ที่เสียภาษีเป็นค่าจ้างให้เข้ามาทำงาน
การเลือกตั้งจึงเป็นเครื่องมือในการเลือกลูกจ้าง
และเครื่องมือในการเลือกลูกจ้างดังกล่าวนี้ ก็ต้องเป็นเครื่องมือที่ไม่คดงอจากคนบางคนที่สร้างเครื่องมือดังกล่าว เพื่อประโยชน์ตน ไม่ว่าการออกกฎหมาย กฎกติกาต่างๆ ในการเลือกตั้งมาบังคับใช้ในการเลือกตั้งนั้นๆ
การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในบ้านเราในเดือนมีนาคม 2562 นี้ เป็นการเลือกตั้งที่มีการออกแบบที่ผิดเพี้ยนไปจากรูปแบบเดิมๆ ในอดีตที่ผ่านมา ทั้งทางด้านกฎกติกา และกฎหมายต่างๆที่เกี่ยวกับวิธีการเลือกตั้งของประชาชน และของพรรคการเมืองและนักการเมืองที่จะสมัครลงรับการเลือกตั้ง ดังที่เห็นกันอยู่ในขณะนี้
ผู้ออกแบบก็คือผู้กุมอำนาจรัฐที่มาจากการรัฐประหาร
และผู้ออกแบบก็ตั้งพรรคการเมืองของตนลงสมัครดัวย
กฎกติกาต่างๆในการตั้งพรรคการเมือง การเป็นสมาชิกพรรคการเมือง หรือกระบวนการในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ถูกแก้ไขและเปลี่ยนไปจากเดิมหลายต่อหลายอย่าง เสมือนจะทำให้พรรคการเมืองเดิมที่มีอยู่ต้องเริ่มต้นกันใหม่
เอาแค่ตัวอย่างที่พรรคการเมืองที่มีสิทธิในการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็น สส. จะต้องมีการดำเนินการ 4 ข้อ ดังต่อไปนี้
1. มีทุนประเดิม 1 ล้านบาท และแจ้งให้นายทะเบียนพรรคการเมืองทราบ
2. มีสมาชิกที่มีคุณสมบัติ และไม่มีลักษณะต้องห้ามไม่น้อยกว่า 500 คน ชำระค่าบำรุงพรรคการเมืองและให้แจ้งนายทะเบียนพรรคการเมืองทราบ
3. จัดประชุมใหญ่ เพื่อแก้ไขข้อบังคับ คำประกาศอุดมการณ์และนโยบายให้ถูกต้องตามที่บัญญัติในกฎหมาย พรรคการเมือง 2560 และให้สอดคล้องกับกฎหมายที่ว่าด้วย สส. พ.ศ.2561
4. จัดประชุมใหญ่ เพื่อเลือกตั้งหัวหน้าพรรค เลขาฯพรรค เหรัญญิก นายทะเบียน และกรรมการบริหารพรรค
ทั้งนี้จะส่งผู้สมัคร สส. ได้ต้องดำเนินการครบทั้ง 4 ข้อดังกล่าวข้างต้น และต้องจัดตั้งสาขาพรรค หรือตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด อย่างน้อย 1 แห่งในจังหวัดนั้น ตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง 2560
เพียงเท่านี้ก็วุ่นไปหมดในพรรคการเมืองเดิมๆที่มี
ไม่นับรวมพรรคการเมืองที่คนมีอำนาจในรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารครั้งนี้ จัดตั้งขึ้นและลงแข่งขันในการเลือกตั้งครั้งนี้ด้วย ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วก็คือ ตัวแทนของคนถือปืนนั่นเอง ลงไปแข่งขันกับพรรคการเมืองอื่นๆที่ถูกกระทำด้วยเรื่องต่างๆจนอ่อนเปลี้ย
อย่างนี้เป็นการสืบทอดอำนาจอย่างว่าหรือเปล่า
เวทีการเมืองในบ้านเราในช่วงการเลือกตั้งครั้งนี้ จึงเป็นเวทีของการช่วงชิงอำนาจทางการเมือง ช่วงชิงอำนาจรัฐตามกระบวนการเลือกตั้ง
เป็นการเลือกตั้งภายใต้ปากกระบอกปืนก็ว่าได้
เพราะปืนเป็นผู้จัดการทุกอย่าง กำหนดกฎเกณฑ์และกฎกติกาต่างๆ ด้วยปืน แม้กระทั่งมีรัฐธรรมนูญประกาศใช้แล้วฉบับ 2560 นี้แล้วก็ตาม ยังมีเขม่าปืนจับอยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้หลายแห่ง โดยเฉพาะอำนาจของเขม่าปืนตาม ม.44 ที่ยังมีอยู่ในรัฐธรรมนูญ
นักการเมืองดีๆ และพรรคการเมืองดีๆ ทั้งพรรคเก่าและพรรคใหม่ก็มีอยู่บ้างเช่นเดียวกัน ซึ่งพรรคและนักการเมืองดีๆ เหล่านี้ย่อมต้องประสบกับคู่แข่งที่มีปืนกำกับอยู่ข้างหลัง
การเลือกตั้งที่กำลังเกิดขึ้นในรูปแบบดังกล่าวข้างต้น จึงเป็นการเลือกตั้งที่อยากจะนำคำพูดของอดีตประธานสภาผู้แทนราษฎรสมัยหนึ่งที่มีชื่อรู้จักกันดีว่า “โค้วตงหมง” ที่ว่า “ยุ่งตายห่า” มาใช้เรียกการเลือกตั้งครั้งนี้ในบ้านเมืองของเรา
ก่อนเลือกตั้งและหลังเลือกตั้งคงวุ่นวายไปด้วยการฟ้องร้องในเรื่องนั้นเรื่องนี้ ให้วุ่นไปหมด
การแข่งขันใดๆ ที่กรรมการผู้ตัดสินลงไปเป็นผู้เล่นเสียเองด้วยแล้ว การแข่งขันนั้นๆ “ยุ่งตายห่า” อย่างว่า
ดีไม่ดีอาจมีการฟาดปากกันในสนามเลือกตั้งครั้งนี้
น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี