เมื่อต้นสัปดาห์ ศาลปกครองสูงสุด ตัดสิน “ยกฟ้อง” ในคดีที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเป็นผู้ฟ้องคดี คณะกรรมการปิโตรเลียม คณะรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน โดยมีคำขอให้เพิกถอนประกาศคณะกรรมการปิโตรเลียม เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการกำหนดพื้นที่ที่จะดำเนินการสำรวจหรือผลิตปิโตรเลียมในรูปแบบของสัมปทาน สัญญาแบ่งปันผลผลิต หรือสัญญาจ้างบริการ ลงวันที่ 19 ต.ค. 2560 และกฎกระทรวงกำหนดแบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต พ.ศ. 2561
เป็นการการันตีว่าภาครัฐทำถูกต้องตามกฎหมาย
ครับ ก็เป็นข้อมูลในแวดวงพลังงาน ที่คาดว่า ในเดือนกุมภาพันธ์นี้ อาจถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของวงการปิโตรเลียมไทยอีกครั้ง เพราะคาดว่าจะมีการลงนามระหว่างกระทรวงพลังงาน และผู้ได้รับสัญญาแบ่งปันผลผลิต แปลงสำรวจเอราวัณและบงกช หรือแปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข G1/61 และ G2/61
ก่อนหน้านี้ก็มีอุปสรรค จนทำให้การประมูลยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมแหล่งก๊าซธรรมชาติ เอราวัณ และบงกช ยืดเยื้อยาวนานกว่ากำหนดการเดิมมาร่วมๆ 2 ปี จนลากประเทศชาติเข้าสู่ความเสี่ยงต่อไฟฟ้าดับ เพราะ 70% ของก๊าซธรรมชาติที่ผลิตในประเทศและนำมาเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้ามาจากแหล่งผลิตทั้ง 2 แหล่ง ในอ่าวไทย นี่คือเหตุผลที่ยืนยันว่าการประมูลครั้งนี้มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศเพียงใด
ก็ต้องชมรัฐบาลและกระทรวงพลังงาน โดยกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ที่เดินหน้าด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม ให้โอกาสอย่างเท่าเทียมแก่ทุกบริษัทที่มาจากทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา จีน ประเทศแถบยุโรปตะวันออกกลาง ขณะที่ทุกขั้นตอนก็ได้เปิดเผยต่อสาธารณชน จนทำให้การประมูลในระบบแบ่งปันผลผลิต หรือ PSC ที่ภาคประชาชนเรียกร้องให้นำมาใช้เสร็จสิ้นลง โดยไม่มีการคัดค้านจากบริษัทที่เข้าแข่งขันแต่อย่างใด และในที่สุดบริษัท ปตท.สผ.เอ็นเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ร่วมกับ บริษัท เอ็มพี จี2 (ประเทศไทย)จำกัด เป็นผู้ชนะในแหล่งเอราวัณ และ บริษัทปตท.สผ.เอ็นเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เป็นผู้ชนะในแหล่งบงกช
มีข้อมูลจากการประเมินจากกระทรวงพลังงาน ว่า จากการที่ผู้ชนะการประมูลเสนอราคาค่าคงที่ของก๊าซธรรมชาติที่ 116 บาทต่อล้านบีทียู
ซึ่งเป็นราคาในระดับเดียวกับสหรัฐอเมริกา เมื่อราคาก๊าซธรรมชาติถูกลง จะส่งผลให้ราคาค่าไฟฟ้าลดลงประมาณ 15-20 สตางค์ต่อหน่วย ถึงวันนั้นราคาค่าไฟที่ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 3.6 บาทต่อหน่วยจะลดลงมาอยู่ที่ 3.4 บาทต่อหน่วย และนี่คือสิ่งที่สอดคล้องกับแนวทางการบริหารจัดการตามแผน PDP ในการเพิ่มสัดส่วนการใช้ก๊าซธรรมชาติจาก 30% เป็น 53% ของเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า
เมื่อสิ้นสุดสัมปทานและเริ่มต้นใช้ราคาก๊าซธรรมชาติใหม่ที่ประมูลได้ในระบบ PSC ในปี 2565 จะเรียกได้ว่าเป็นการเริ่มต้นใหม่ของราคาก๊าซธรรมชาติกันเลยทีเดียว
หลายคนมองว่านี่คือ “จุดเริ่มต้นฐานพลังงานยุคใหม่” เพราะเมื่อมีก๊าซธรรมชาติจำนวนมากพอในราคาที่ถูก ก็จะทำให้เชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้ามีราคาถูกลง สิ่งนี้เป็นผลดีที่อาจจะเรียกได้ใกล้ตัวประชาชนที่สุดอันเกิดจากการประมูลในครั้งนี้ ขณะที่ภาพใหญ่กว่านั้น เอาข้อมูลมาย้ำกันอีกครั้ง ว่า การพัฒนาทั้ง 2 แปลงนี้ ในช่วงระยะเวลา 10 ปีแรก ของสัญญาแบ่งปันผลผลิต คาดว่า สามารถสร้างผลประโยชน์ให้รัฐในรูปค่าภาคหลวง ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม และส่วนแบ่งปิโตรเลียมส่วนที่เป็นกำไร ที่เป็นประโยชน์ ต่อประเทศชาติ ตลอดจนก่อให้เกิดการจ้างงานพนักงานคนไทย ในสัดส่วนร้อยละ 98 และยังช่วยลดการนำเข้าก๊าซแอลพีจีได้ประมาณ 22 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 4.6 แสนล้านบาท รวมทั้งยังก่อให้เกิดการลงทุนหมุนเวียนในประเทศอีกประมาณ 1.1 ล้านล้านบาท
ครับ เมื่อศาลปกครองสูงสุด “ยกฟ้อง” ตามย่อหน้าแรก ก็ควรจบนะครับ ปล่อยให้ประเทศชาติเดินหน้าพัฒนาไปตามครรลองที่ควรจะเป็นกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติในฐานะแม่ทัพใหญ่ของงานนี้ จะได้ดำเนินการขั้นตอน และกระบวนการต่างๆ ในการประมูล ให้จบสิ้น เพื่ออนาคตการพัฒนาของประเทศ
แต่ถ้ามีประเด็นอื่นที่ตามมาอีก ก็ค่อยว่ากันอีกที
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี