เมื่อวันศุกร์ที่ 15 ก.พ. 2562 คดีทุจริตบ้านเอื้ออาทรนัดทำการตรวจพยานหลักฐาน
1. องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ทั้ง 9 คน นัดตรวจพยานหลักฐานคดีทุจริตบ้านเอื้ออาทร หมายเลขดำ อม.42/2561 ที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง
ฝ่ายจำเลย นำโดยนายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ แกนนำพรรคเพื่อไทย, นายมานะ วงศ์พิวัฒน์ อดีตกรรมการการเคหะแห่งชาติ (กคช.) ในฐานะอดีตประธานอนุกรรมการพิจารณากลั่นกรองโครงการปี 2548-2549, เสี่ยเปี๋ยง หรือนายอภิชาติ จันทร์สกุลพร นักธุรกิจค้าข้าวรายใหญ่, นายอริสมันต์ หรือ กี้ร์ พงศ์เรืองรอง อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักไทย และพวก รวม 14 คน
2.คดีนี้ ฟ้องร้องในความผิดฐานเรียกรับสินบนในการดำเนินโครงการบ้านเอื้ออาทร
เป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจหรือจูงใจเพื่อให้บุคคลใดมอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเองหรือผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148, เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต มาตรา 157 และ
ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 6, 11 และเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 86, 91
3.ในวันนัด ปรากฏว่า นายวัฒนา นายอริสมันต์ เดินทางมาศาล
ส่วนเสี่ยเปี๋ยงกับลูกน้อง ที่ร่วมเป็นจำเลยในคดีนี้ เจ้าหน้าที่ได้เบิกตัวมาจากเรือนจำ
ขณะที่จำเลยบางราย ไม่มาศาล ศาลได้ออกหมายจับไว้ก่อนหน้านี้ ครบ 3 เดือนแล้ว ก็ยังไม่สามารถติดตามตัวจำเลยมาเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีของศาลได้ จึงอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองฯ ให้ศาลพิจารณาคดีลับหลังจำเลยได้
จะเห็นว่า การดำเนินคดีลับหลัง เป็นเรื่องปกติ เพื่อผดุงความยุติธรรมแก่ส่วนรวม ตามกฎหมาย
4.คดีนี้ ศาลเห็นว่า เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจก่อสร้างบ้านเอื้ออาทร ควรมีผู้เชี่ยวชาญทางด้านวิศวกรรมมาเป็นพยานด้วย จึงให้หมายเรียก นายธเนศ วีระศิริ นายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยฯ มาเป็นพยานของศาล
ส่วนจำเลย หากประสงค์นำผู้เชี่ยวชาญของฝ่ายตนเองมาไต่สวนด้วย ก็ให้ยื่นคำร้องต่อศาลภายใน 30 วัน
จะเห็นได้ว่า ระบบไต่สวนของศาลฎีกาฯ เอื้อให้เกิดการอำนวยความยุติธรรมแก่ทุกฝ่าย โดยศาลสามารถเรียกพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้เองตามเห็นสมควร และในคดีนี้ ศาลเรียกพยานที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเข้ามาไต่สวนด้วย
สำหรับคดีทุจริตบ้านเอื้ออาทรนี้ ศาลให้นำพยานขึ้นไต่สวนทั้งหมด 82 ปาก
กำหนดวันนัดไต่สวนพยานโจทก์วันที่ 3, 10 มิ.ย. แล้วต่อไป 8, 12, 15, 19 ก.ค. และต่อไป 5, 16, 19, 26 ส.ค.2562 รวม 10 นัด และไต่สวนพยานจำเลยวันที่ 4, 13, 20, 27 ก.ย.2562 รวม 4 นัด
ฝ่ายนายวัฒนายังขอศาลแถลงเปิดคดีด้วยวาจา อ้างว่า เพื่อทำความเข้าใจให้เห็นภาพความเป็นมาอย่างไร อ้างว่าคดีมีพิรุธ ผู้ประกอบการที่ได้รับอนุมัติโครงการไม่มีใครขาดทุน
การเคหะฯและราชการไม่มีใครได้รับความเสียหาย ทุกอย่างประสบความสำเร็จหมด จึงต้องขอศาลแถลงด้วยวาจา เพื่อให้ได้เห็นภาพว่าคดีนี้มันมีอะไรเป็นพิรุธบ้าง
ศาลให้นายวัฒนายื่นคำร้องต่อศาล โดยศาลจะมีคำสั่งในวันนัดไต่สวนพยานโจทก์ครั้งแรก
หมายความว่า ศาลยังไม่พิจารณาอนุญาต ให้ยื่นคำร้องมา แล้วจะพิจารณามีคำสั่งในวันที่ 3 มิ.ย.ว่าอนุญาตหรือไม่?
แต่ปรากฏว่า นายวัฒนาก็ยังไปให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ต่อที่หน้าที่ทำการศาลฎีกา เป็นตุเป็นตะ
5.นายวัฒนาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า ได้ขออนุญาตศาลแถลงเปิดคดีด้วยวาจา เพื่อทำความเข้าใจให้เห็นภาพความเป็นมาอย่างไร คณะกรรมการ กคช.ทั้ง 10 คน ถูกแจ้งข้อหาเพียงคนเดียว และผู้ประกอบการที่ถูกอ้างว่ามีการจ่ายสินบน 11 ราย แต่เอามาฟ้องแค่ 3 ราย อีก 8 ราย ไม่ฟ้อง ก็ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด
“เรื่องนี้การเคหะฯ และราชการไม่มีใครได้รับความเสียหาย ทุกอย่างประสบความสำเร็จหมด ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน ไม่มีใครทำผิด ตรงนี้คือข้อเท็จจริง จึงต้องขอศาลแถลงด้วยวาจา เพื่อให้ได้เห็นภาพว่าคดีนี้มันมีอะไรเป็นพิรุธบ้าง มีที่ไหนคดีที่ปกติธรรมดาคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ใช้เวลาไต่สวน 12 ปีแล้ว ก็มาถึงศาลในช่วงที่ผมทะเลาะกับคสช. ที่ผ่านมาก็เห็นว่าผมนั้นโดนอะไรมาบ้าง ทุกวันนี้หายใจแรงยังผิดเลย”
นายวัฒนายังกล่าวหาว่า คดีนี้ที่มาที่มาศาลได้เพราะว่าป.ป.ช.ที่ถูกตั้งขึ้นโดยคณะรัฐประหาร ก็เป็นโอกาสดีที่มันจะได้จบสิ้นคดีนี้ เพราะเป็นคดีสุดท้ายของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.)
“ผมเห็นว่าวันนี้ความยุติธรรมมันไม่ได้อยู่ข้างผม ผมหายใจยังผิด ผมแถลงข่าวที่พรรคผมยังเป็นภัยต่อความมั่นคง เรื่องอะไรก็เกิดขึ้นได้ หากวันที่อำนาจกลับคืนมาเป็นของประชาชน ผมก็คิดว่าองค์กรที่ทำหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมจะเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น เราต้องรอให้อำนาจกลับมาเป็นของประชาชน” นายวัฒนาระบุ
6.ประเด็นที่นายวัฒนาแถลงต่อสื่อหน้าศาลนั้น สุ่มเสี่ยงว่าจะละเมิดอำนาจศาลหรือไม่?
เพราะเป็นเรื่องที่นายวัฒนาจะต้องยื่นขอแถลงเปิดคดีด้วยวาจาต่อหน้าศาล แต่กลับไปแถลงต่อสื่อไปเสียแล้ว
ที่สำคัญ เป็นให้ข้อด้านเดียว ย่อมไม่เป็นธรรมต่อ ป.ป.ช. อัยการผู้ฟ้องคดี รวมไปถึง คตส.ที่ถูกพาดพิง
ที่สำคัญที่สุด คือ เป็นการพูดไม่ตรงกับประเด็นที่ต้องพิสูจน์ตามข้อหาความผิดที่ถูกฟ้องในศาล
อาจเรียกว่า ถามช้าง ตอบม้า
เพราะอะไร?
คดีนี้ นายวัฒนาและพวก ถูกฟ้องดำเนินคดี โดยกล่าวหาว่ามีการเรียกรับสินบนในโครงการบ้านเอื้ออาทร
ไม่ใช่กล่าวหาว่า โครงการบ้านสร้างไม่เสร็จ ผู้รับเหมาทิ้งงาน โครงการขาดทุน บ้านอยู่ไม่สุข หลังคารั่ว เพดานร้าว เสาทรุด ฯลฯ ล้วนแต่ไม่ใช่ประเด็นที่จะต้องมาพิสูจน์กันในคดีนี้
สำนวนของอัยการย่อมจะกล่าวหาว่าพฤติกรรมดำเนินโครงการอย่างไร ที่ส่อให้เห็นถึงความผิดปกติ และเกิดการเรียกรับสินบนในการดำเนินโครงการนี้อย่างไร
ส่วนบ้านเอื้ออาทรที่สร้างนั้น กำไรหรือขาดทุน จะสวยงาม จะอยู่ดีมีสุขหรืออยู่แล้วครอบครัวแตกแยกอย่างไร ไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่ว่า มีการเรียกรับสินบนหรือไม่ แต่ประการใดเลย
การที่นายวัฒนามาพูดเอง เออเอง ทำนองว่า บ้านเอื้ออาทรโครงการที่ตรวจสอบเรียบร้อยดี สร้างเสร็จครบ ไม่ขาดทุน จึงเป็นการบิดเบือนประเด็นสาระสำคัญของคดีถึงหน้าที่ทำการศาลฎีกา จะด้วยเจตนาหรือไม่ มิอาจทราบได้
7.ที่น่าสนใจ และเป็นข้อมูลใหม่เกี่ยวกับคดีนี้ คือ การร้องขอริบทรัพย์ 1,400 ล้านบาท
สื่อมวลชนรายงานว่า เมื่อวันที่ 12 ก.พ.ที่ผ่านมา พนักงานอัยการ ซึ่งรับมอบอำนาจจาก อสส. ได้ยื่นเพิ่มเติมคำฟ้องเกี่ยวกับมาตรการร้องขอให้ริบทรัพย์สินหรือการใช้เงิน หรือทรัพย์สินอื่นที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด มูลค่ากว่า 1,400 ล้านบาท
เป็นการยื่นตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 83 ประกอบ พ.ร.บ.วิ อม. มาตรา 42, 43
ศาลสั่งให้จำเลยยื่นคำให้การประเด็นดังกล่าวภายใน 30 วัน นับจากวันที่ 12 ก.พ.
ประเด็นนี้ นักข่าวได้ถามนายวัฒนา แต่เจ้าตัวตอบแค่ว่า เป็นเรื่องปกติ แต่หากว่าศาลพิพากษาว่าไม่ผิด ก็จะไม่มีเรื่องการยึดทรัพย์เข้ามาเกี่ยวข้อง ส่วนถ้าศาลพิพากษาว่าผิด ก็ไม่สนใจ ยังไงก็ติดคุกอยู่แล้ว ไม่ต้องไปดูอีกว่าจะยึดทรัพย์หรือไม่
8.ประเด็นเรื่อง 1,400 ล้านบาทนี้ ไม่ว่าจะนายวัฒนาจะอ้างว่าไม่กังวลอย่างไร แต่หากดูตามข้อกฎหมายแล้ว จะเห็นว่าเป็นประเด็นสำคัญ และอาจจะมีผลทันที โดยไม่ต้องรอถึงวันที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด
พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 ระบุว่า
“มาตรา 83 ในการฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง ถ้าผู้ถูกกล่าวหาหรือบุคคลที่มีส่วนร่วมในการกระทําความผิดได้ใช้หรือได้ทรัพย์สินมาโดยมิชอบ เนื่องจากการกระทําความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อํานาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย อัยการสูงสุดหรือคณะกรรมการ ป.ป.ช. แล้วแต่กรณี อาจร้องขอให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองริบทรัพย์สินดังต่อไปนี้ เว้นแต่เป็นทรัพย์สินของผู้อื่นซึ่งมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทําความผิด
(1) ทรัพย์สินที่บุคคลได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทําความผิด
(2) ทรัพย์สินหรือประโยชน์อันอาจคํานวณเป็นราคาเงินได้ที่บุคคลได้ให้ ขอให้หรือรับว่าจะให้แก่ผู้ถูกกล่าวหาโดยมิชอบ
(3) ทรัพย์สินหรือประโยชน์อันอาจคํานวณเป็นราคาเงินได้ที่บุคคลได้มาจากการกระทําความผิด หรือจากการเป็นผู้ใช้ ผู้สนับสนุน หรือผู้โฆษณาหรือประกาศให้ผู้อื่นกระทําความผิด
(4) ทรัพย์สินหรือประโยชน์อันอาจคํานวณเป็นราคาเงินได้ที่บุคคลได้มาจากการจําหน่าย จ่ายโอนด้วยประการใด ๆ ซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์ตาม (1) หรือ (3)
(5) ดอกผลหรือประโยชน์อื่นใดอันเกิดจากทรัพย์สินหรือประโยชน์ตาม (1) (3) หรือ (4)”
และถ้าดูในมาตรา 84 จะมองเห็นขั้นตอนต่อไปว่า
“มาตรา 84 เพื่อประโยชน์ในการร้องขอให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองริบทรัพย์สินตามมาตรา 83 คณะกรรมการ ป.ป.ช. อาจคํานวณมูลค่าของทรัพย์สินนั้นในขณะที่ผู้ถูกกล่าวหาได้ทรัพย์สินนั้นมา หรือมูลค่าของทรัพย์สินนั้นในขณะที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติว่าผู้ถูกกล่าวหากระทําความผิดแล้วแต่ว่ามูลค่าในขณะใดจะมากกว่ากัน และขอให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองสั่งให้ชําระเงินหรือสั่งให้ริบทรัพย์สินอื่นของผู้กระทําความผิดแทนตามมูลค่าดังกล่าวได้
ในกรณีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองมีคําสั่งริบทรัพย์สินเนื่องจากการกระทําความผิด แม้คําพิพากษายังไม่ถึงที่สุด ให้เลขาธิการมีอํานาจเก็บรักษาและจัดการทรัพย์สินดังกล่าวจนกว่าคดีถึงที่สุด หรือศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองมีคําสั่งเป็นอย่างอื่น”
น่าสนใจว่า ทรัพย์สินมูลค่า 1,400 ล้านบาทนั้น ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง? อยู่ในชื่อใครบ้าง? เกี่ยวพันกับคดีนี้อย่างไร? แล้วศาลจะมีคำสั่งอย่างไรต่อไป หลังจากให้นายวัฒนายื่นคำให้การในประเด็นนี้ภายใน 30 วัน
ยิ่งนายวัฒนาเลี่ยงที่จะไม่พูดถึงรายละเอียด ก็ยิ่งน่าสนใจว่ามันอาจมีอะไรบางอย่างแน่นอน
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี