เมื่อวานนี้ นายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ ยืนยันว่า พรรคร่วมฯที่เหลือยังสนับสนุนให้เป็นนายกฯ ต่อไป พรรค รทสช.ก็ไม่มีการยื่นเงื่อนไขให้ลาออกแต่อย่างใด
1.เมื่อนักข่าวถามว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาว่าจะรับเรื่องที่มีผู้ร้องให้ศาลสั่งนายกรัฐมนตรีหยุดการปฏิบัติหน้าที่ จากกรณีคลิปเสียงสนทนา กับสมเด็จฮุนเซน ได้ประเมินเรื่องนี้อย่างไรหรือไม่?
นายกฯอุ๊งอิ๊งค์ กล่าวว่า เราประเมินเรื่องนี้ และพร้อมหากจะต้องให้ข้อมูล และชี้แจง
“เพราะคลิปเสียงที่หลุดออกมา เป็นเรื่องที่ผู้นำแต่ละประเทศใช้เจรจากันอยู่แล้ว
และเห็นได้ชัดว่าในคลิป ดิฉันไม่ได้อะไร และไม่ได้ทำให้ประเทศไทยเสียอะไร
และจุดประสงค์เป็นการคุยกัน ซึ่งเป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่าไม่ควรจะเปิดเผย เพราะเป็นการสนทนาแบบส่วนตัว
ขอย้ำว่าพร้อมที่จะยืนยัน และพร้อมที่จะอธิบายทุกเหตุการณ์หากจะต้องมีการอธิบาย”-นางสาวแพทองธารกล่าว
เมื่อถามว่าจะชี้แจงอย่างไรกับประชาชนส่วนหนึ่งที่ไม่เข้าใจและเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง?
ปรากฏว่า นางสาวแพทองธารได้ตัดบทด้วยการยกมือไหว้ เพื่อจบการแถลงข่าวแล้วเดินออกจากจุดแถลงข่าวทันที
2.นี่ตกลงว่า นายกฯไม่รู้ หรือแกล้งไม่รู้?
ใสซื่อ หรือหน้าด้าน?
ถึงขนาดยังทำไขสือ ว่าสิ่งที่ตนเองพูดคุยกับฮุนเซนในคลิปลับ (ที่ถูกเผยแพร่ภายหลัง) นั้น มันสร้างความเสียหายอย่างไร ทั้งต่อเกียรติศักดิ์ของกองทัพ และการแก้ปัญหาหาความมั่นคงของประเทศ
แล้วถ้าคลิปลับไม่ถูกเผยแพร่ล่ะ?
3.ในถ้อยแถลงของกลุ่มประชาชนที่จะชุมนุม 28 มิ.ย. ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ กลุ่ม “รวมพลังแผ่นดิน” ระบุเหตุผลและท่าทีต่อพฤติกรรมของนายกฯอุ๊งอิ๊งค์ไว้ชัดเจน ระบุว่า
“...ที่เลวร้ายที่สุด คือ แพทองธาร ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ไร้ความสามารถเป็นที่ประจักษ์
ได้กระทำการในลักษณะเป็นปฏิปักษ์ต่อประเทศชาติ
เข้าข่ายกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา หมวด ๓ ว่าด้วยความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายนอกราชอาณาจักร ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ หมวด ๕ หน้าที่ของรัฐ
มีพฤติการณ์ตามที่เป็นข่าวสาธารณะในเชิงสมคบคิด และแสดงออกซึ่งเจตนาในการใช้อำนาจหน้าที่ไปในทางตอบสนองความต้องการของอริราชศัตรู
ทั้งแสดงตัวตนด้วยคำพูด ที่ทำให้เข้าใจได้ว่าเป็นฝ่ายเดียวกับอริราชศัตรูที่มีความมุ่งหมายรุกล้ำ ละเมิดอำนาจอธิปไตย ยึดครองแผ่นดินไทย รวมถึงทรัพยากรของชาติ
ทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชนคนไทย
และขัดต่อคำถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่นายกรัฐมนตรี
ขณะเดียวกัน แม้ปรากฏข้อเท็จจริงประจักษ์ชัดตามข่าวสาธารณะ และการยอมรับของนายกรัฐมนตรี บรรดาคณะรัฐมนตรี และพรรคร่วมรัฐบาล ที่ยังคงสนับสนุนให้แพทองธาร ชินวัตร ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีต่อไป ไม่ถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล จึงอาจถือได้ว่าเข้าร่วมกระทำการกับนายกรัฐมนตรี มีพฤติการณ์เป็นปฏิปักษ์ต่อประเทศชาติเข้าข่ายกระทำความผิดตามกฎหมายอาญา กระทำการขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกัน
เพื่อธำรงรักษาไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และความมั่นคง อำนาจอธิปไตยแห่งราชอาณาจักรไทย ทั้งเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนโดยรวมให้แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลาออกทันที และให้พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลทันที เพราะสิ้นความชอบธรรมแล้ว
ขอเรียกร้องเชิญชวนพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน ร่วมมือร่วมใจ สามัคคี ลดเงื่อนไขความขัดแย้ง รวมกันเป็นพลังแผ่นดิน แสดงตนให้นายกรัฐมนตรีลาออกทันที พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลทันที
พร้อมทั้งเป็นขวัญกำลังใจร่วมยืนเคียงข้างทหารทำหน้าที่ปกป้องแผ่นดินและอำนาจอธิปไตยของชาติอย่างกล้าหาญมั่นคง
และร่วมกันปรึกษาหารือแนวทางแก้ไขปัญหาบ้านเมือง ตามวิถีทางการปกครองระบอบประชาธิปไตย และประเพณีการปกครองที่เหมาะสมกับสถานการณ์และลักษณะสังคมไทย โดยยึดถือหลักศีลธรรม หลักความสุจริต หลักสิทธิมนุษยชน หลักนิติธรรม และหลักธรรมาภิบาล อันจะทำให้สามารถขับเคลื่อนประเทศให้พัฒนาจนเกิดความ มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และดุลสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สืบไป..”
4.ฝ่ายพรรค รทสช. ที่ไม่ถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล ก็ดูเหมือนจะยังพูดความจริงไม่หมด
ล่าสุด มีคำอธิบายจาก ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้บริหารพรรค รทสช. ระบุว่า
“แม้ไม่มีใครรู้ แต่เรารู้ รู้ว่าเรานั้นทำเพื่อใคร...
ในเรื่องของการไปต่อในการตั้งรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย ก่อให้เกิดกระแสการวิพากษ์วิจารณ์และไม่พอใจจากแฟนคลับบางพวก
ผมเองนั้น ในตอนแรกไม่อยากจะแสดงความคิดเห็นอะไรออกมา เพราะคิดว่า พูดไปในเวลานี้ จะมีใครฟังหรือเปล่า ต้องขอบคุณ แฟนคลับบางท่าน ที่ส่งข้อความมาให้กำลังใจ ตามที่ผมได้โพสต์ให้ท่านได้ดูก่อนหน้านี้แล้ว แสดงว่า ยังมีคนที่มีความเข้าใจ ในเรื่องนี้อยู่
ผมขอแสดงความคิดเห็นส่วนตัว ขอย้ำนะครับ ว่าเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผมดังนี้
1.ปัญหาที่เกิดขึ้น เป็นความตั้งใจที่จะทำลาย ท่านนายกรัฐมนตรีของไทยจากผู้นำประเทศเพื่อนบ้าน ถึงขนาดใช้วิธีการที่ไม่เคยมีผู้นำ ประเทศไหนในโลกใช้มาก่อนผู้นำประเทศอื่นๆ ย่อมพิจารณาได้เองว่า เกียรติภูมิและความน่าเชื่อถือของผู้นำประเทศเพื่อนบ้านของไทยท่านนี้ เป็นเช่นไร
2.ความพยายามของท่านนายกรัฐมนตรีของไทยเรา ที่จะพยายามแก้ปัญหาข้อพิพาทระหว่างประเทศ โดยพยายามใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวเพื่อให้อีกฝ่าย ที่ตนเองคิดว่าเป็นผู้ใหญ่ที่น่าเคารพนับถือ ให้ความเมตตาและลดความแข็งกร้าว เพื่อจะนำไปสู่การเจรจา ผมพิจารณาแล้ว ว่ายังไม่มีเจตนาถึงขั้นที่จะขายชาติ ตามที่ถูกกล่าวหา
3.หลังจากผู้นำประเทศเพื่อนบ้าน นำคลิป การเจรจาที่ไม่เหมาะสม ออกมาเปิดเผยต่อสาธารณชน โดยไม่คำนึงถึงมารยาททางการเมืองระหว่างประเทศ ทำให้เกิดปัญหาซึ่งท่านนายกรัฐมนตรีจะต้องดำเนินการแก้ไข ดังนี้
3.1 ท่านแม่ทัพภาค 2 ซึ่งเป็นผู้ถูกเอ่ยนามในบทสนทนาโดยตรง
3.2 กองทัพบก และทหารตำรวจผู้ปฏิบัติหน้าที่ทุกเหล่าทัพ เนื่องจากแม่ทัพภาค 2 ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะข้าราชการทหาร เพื่อปกป้องประเทศชาติตามกฎหมายและจิตสำนึก
3.3 ประชาชน ผู้เป็นเจ้าของประเทศนี้ร่วมกันทุกคน
ในข้อ 3.1 และ 3.2 ท่านนายกรัฐมนตรี ได้มีการขอโทษและแสดงออกอย่างชัดเจนแล้ว ทางท่านแม่ทัพภาค 2 และกำลังพลทหารตำรวจผู้ปฏิบัติหน้าที่ ย่อมเป็น ผู้พิจารณาเองว่าจะให้อภัยหรือไม่
ส่วนในข้อ 3.3 นั้น เป็นข้อที่ยากที่สุด ที่ท่านนายกรัฐมนตรีจะต้องแสดงออกให้ประชาชนได้เห็นว่า ท่านพร้อมปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติและไม่มีผลประโยชน์แอบแฝงอื่นใดกับทางประเทศเพื่อนบ้าน เหมือนกับที่ผู้นำประเทศนั้นพยายามจะสื่อสารให้คิดไปในทำนองดังกล่าว
ซึ่งในส่วนนี้ ทั้งหมดเป็นส่วนที่ท่าน นายกรัฐมนตรี จะต้องดำเนินการแก้ไขด้วยตัวเอง ในส่วนของรัฐบาลนั้น มีงานเร่งด่วนที่จะต้องรีบดำเนินการ คือการผ่านร่างงบประมาณ ปี’69 เพื่อใช้ในการบริหารประเทศ ซึ่งถ้าหากต้องยุบสภาฯ ในช่วงนี้ งบประมาณปี’69 ก็ต้องหยุดชะงัก และเริ่มต้นใหม่หลังจากรัฐบาลใหม่ซึ่งน่าจะใช้เวลาต่อจากนี้ไปอีกประมาณ 9 เดือน ทำให้การบริหารประเทศ ต้องหยุดชะงักลง อย่างเปล่าประโยชน์ แต่หากผ่านงบประมาณแล้ว การบริหารประเทศก็จะสามารถดำเนินต่อไปได้
ในส่วนของ พรรครวมไทยสร้างชาตินั้น มีกฎหมายพลังงานหลายฉบับที่จะต้องพยายาม นำเข้า ครม. และสภาฯ เพื่อให้มีผลบังคับใช้ เพื่อเป็นประโยชน์กับประชาชนให้มากที่สุด โดยเฉพาะกฎหมายโซลาร์รูฟเสรี อยู่ในขั้นตอนที่พร้อมจะนำเข้า ครม. และเข้าสภาฯ ในวาระที่จะถึงนี้ ซึ่งถ้ากฎหมายฉบับนี้ผ่าน อย่างน้อย ประชาชนและผู้ประกอบการ ก็จะมีพลังงานทางเลือกสำหรับพึ่งพาตนเองได้ และหากโชคดี กฎหมายที่เกี่ยวกับน้ำมัน,ไฟฟ้าและก๊าซหุงต้ม สามารถนำเข้าสภาฯได้ทันก็จะเป็นประโยชน์อย่างยั่งยืนต่อประชาชน
แน่นอนครับ ในการตัดสินใจร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยต่อไป จะต้องโดนกระแสการต่อต้านและไม่พึงพอใจของประชาชน ซึ่งผมคิดว่า ท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ย่อมทราบดี ว่าการตัดสินใจเช่นนี้ของท่าน อาจทำให้กระแสนิยมของท่านและพรรคตกลง
แต่เมื่อเทียบกับโอกาสที่จะฝากกฎหมายดีๆ ไว้ให้ประเทศนี้ และผลประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับในระยะยาว ย่อมเป็นสิ่งที่นักการเมืองที่ดีพึ่งกระทำ
ผมขอสดุดี ในความกล้าหาญและเสียสละของ ท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ในครั้งนี้ ขอขอบคุณ แฟนคลับ ที่ส่งข้อความให้กำลังใจและแสดงถึงความเข้าใจการตัดสินใจ มาให้ผม ทำให้ผมมีความกล้าพอที่จะเขียนบทความนี้ขึ้น เพื่อแสดงถึงจุดยืนของตัวเอง และขอเป็นหนึ่งกำลังใจที่จะเคียงข้างให้ท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ผลักดันกฎหมายพลังงานเพื่อประชาชนได้เป็นผลสำเร็จ”
5.การดำรงอยู่ในรัฐบาลต่อไปของพรรค รทสช. ในทางการเมือง เห็นจะมีความชอบธรรมอยู่ข้อเดียว
คือ คาดการณ์ว่า อุ๊งอิ๊งค์จะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ หรือจะต้องพ้นตำแหน่ง หรือสุดท้ายจะต้องลาออกแน่ๆ หลังสถานการณ์เฉพาะหน้าดีขึ้นกว่านี้
แล้วในพรรคร่วมฯที่เหลือ ก็ต้องร่วมกันสนับสนุนพรรคร่วมรัฐบาลที่มีชื่อแคนดิเดตนายกฯ ขึ้นมาเป็นนายกฯ ต่อไป
ซึ่งชัยเกษม ของพรรคเพื่อไทย น่าจะทำงานไม่ไหวแน่นอน
ก็จะถึงคิวพรรคอันดับสอง คือ พรรค รทสช. ซึ่งมีชื่อ ลุงตู่ กับ นายพีระพันธ์ุ เป็นแคนดิเดตนายกฯ
โดยหากถึงเวลานั้น เพื่อความมีเสถียรภาพ ก็อาจดึงเอาพรรคภูมิใจไทยกลับเข้ามาร่วมรัฐบาล ก็อาจเป็นไปได้
ทั้งหมด เป็นเรื่องที่ไม่มีใครอาจกล่าวไว้ล่วงหน้า เพราะเป็นเรื่องของอนาคตทางการเมืองที่ยังมาไม่ถึง
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี