ช่วงนี้เป็นช่วงกลางศึกเลือกตั้ง ที่พรรคการเมืองต่างๆ พากันขับเคี่ยวแข่งขันกันอย่างดุเดือด บ้างก็โจมตีใส่ร้ายพรรคการเมืองอื่นและนักการเมืองคนอื่น บ้างก็ข่มขู่คุกคามพรรคการเมืองและนักการเมืองอื่น บ้างก็คุยโวโอ้อวดโม้ให้ชาวบ้านหลงเชื่อว่าจะเป็นผู้มีชัยชนะในการเลือกตั้ง
นั่นเป็นธรรมดาของการเมืองแบบไทยๆ ปรากฏการณ์หาเสียงแบบเส็งเคร็งที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่หรือเรื่องแปลกประหลาดอันใด แต่เป็นเรื่องที่ทำกันมาช้านานแล้ว และบางยุคบางสมัยก็ทำกันยิ่งกว่านี้
ใครที่สนใจการใช้กลเกมทางการเมืองที่พลิกแพลงพิสดารก็ควรจะไปศึกษาประวัติของนักการเมืองคนดังของภาคใต้คนหนึ่ง คือนายฉ่ำ จำรัสเนตร ซึ่งมีวิธีการหาเสียงเลือกตั้งด้วยลีลาที่พลิกแพลงพิสดารจนหาใครจับหรือเทียบเทียมไม่ได้ แต่วิธีการของนายฉ่ำจำรัสเนตร นั้นก็ไม่ได้เบียดเบียนทำร้ายใคร เพราะแม้วิธีการหาเสียงจะประหลาดพิสดารเพียงใด ก็เป็นเรื่องของนายฉ่ำ จำรัสเนตร คนเดียว
ครั้งหนึ่งนายฉ่ำ จำรัสเนตร สมัครรับเลือกตั้งแล้วประกาศตนว่าเป็นผู้วิเศษ เทวดาสั่งให้มาสมัครรับเลือกตั้ง ขอให้ประชาชนสนับสนุน ก็จะโชคดีมีความรุ่งเรืองถ้วนหน้ากัน
และเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าเทวดาสั่งให้มาสมัครรับเลือกตั้ง นายฉ่ำ จำรัสเนตร ก็ประกาศว่าในคลองใหญ่ในพื้นที่นั้นซึ่งรู้กันดีว่ามีจระเข้ชุกชุม นายฉ่ำ จำรัสเนตร จะลงไปว่ายน้ำและจะพิสูจน์ให้เห็นโดยทั่วกันว่าเทวดาคุ้มครองรักษาไม่ให้จระเข้ทำอันตรายแก่นายฉ่ำ จำรัสเนตร ได้
ชาวบ้านทั้งหลายซึ่งรู้ดีว่าคลองนั้นมีจระเข้ชุกชุมและเป็นอันตรายอย่างยิ่งก็เป็นห่วงนายฉ่ำจำรัสเนตร ว่าจะถูกจระเข้กัดตายเสียเปล่าๆ และจำนวนมากก็ต้องการไปดูให้เห็นกับตาว่านายฉ่ำ จำรัสเนตร มีเทวดาคุ้มครองรักษาและใช้มาสมัครเลือกตั้งจริงหรือไม่ และนายฉ่ำ จำรัสเนตร จะถูกจระเข้คาบไปกินหรือไม่
ชาวบ้านทั่วทุกคุ้งน้ำทั้งใกล้และไกลเมื่อทราบข่าวแล้วก็พากันพายเรือบ้าง นั่งเกวียนบ้าง นั่งรถบ้าง ไปชุมนุมกันในบริเวณที่นายฉ่ำ จำรัสเนตร อ้างว่าจะว่ายน้ำข้ามคลองเพื่อพิสูจน์ว่าเทวดาคุ้มครองรักษา ทั้งเรือแจว เรือพาย และผู้คนล้นหลาม บ้างก็เอาดนตรีไปเล่น บ้างก็เอาประทัดไปจุด บ้างก็ใช้เรือยนต์วิ่งไปวิ่งมาเสียงดังอึกทึกครึกโครมเอิกเกริก
พอถึงเวลานัดหมาย นายฉ่ำ จำรัสเนตร ก็ลงไปว่ายน้ำข้ามคลอง ก็สามารถว่ายข้ามคลองได้โดยสวัสดี เพราะจระเข้หนีไปหมดเนื่องจากตกใจกลัวที่ผู้คนเรือแพนาวาต่างๆ พากันมามากมาย
พอนายฉ่ำ จำรัสเนตร ว่ายน้ำไปถึงอีกฝั่งหนึ่งชาวบ้านที่พากันมาชมก็พากันไชโยโห่ร้องดังสนั่นหวั่นไหวแต่ในที่สุดนายฉ่ำ จำรัสเนตร ก็แพ้เลือกตั้งอยู่ดี
หรืออีกครั้งหนึ่ง นายฉ่ำ จำรัสเนตร ไปประกาศให้ชาวบ้านทราบว่าเป็นนักการเมืองคนสำคัญ นายปรีดี พนมยงค์ นายกรัฐมนตรีให้การสนับสนุนในการลงสมัครรับเลือกตั้ง ดังนั้นใครที่นิยมชมชอบนายปรีดี พนมยงค์ ก็ขอให้ลงคะแนนเสียงสนับสนุนนายฉ่ำ จำรัสเนตร ด้วย
เพื่อพิสูจน์ให้คนทั้งหลายเชื่อว่าได้รับการสนับสนุนจากนายปรีดี พนมยงค์ นายฉ่ำ จำรัสเนตรก็บอกคนทั้งหลายว่า ณ วันนั้นวันนี้ นายปรีดี พนมยงค์จะส่งเงินค่าใช้จ่ายมาให้ ให้ไปคอยดูที่ทำการไปรษณีย์
พอถึงวันนัดหมาย นายฉ่ำ จำรัสเนตรก็พาชาวบ้านไปที่ทำการไปรษณีย์ ก็ได้รับธนาณัติจากนายปรีดี พนมยงค์ ส่งเงินไปให้ 2,000 บาท คนทั้งหลายก็พากันเชื่อถือและยินดีปรีดาไปกับนายฉ่ำ
จำรัสเนตร ด้วย แต่ในที่สุดนายฉ่ำ จำรัสเนตร ก็แพ้เลือกตั้งอยู่ดี
ความปรากฏในภายหลังว่า นายฉ่ำ จำรัสเนตร เดินทางมากรุงเทพฯ ได้ไปเยี่ยมนายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเป็นผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง นำเงินไปฝากไว้ 2,000 บาท โดยอ้างว่าในการเดินทางกลับต่างจังหวัดนั้นมีอันตราย อาจจะถูกแย่งชิงเงินนั้น จึงขอฝากไว้ และต้องการเมื่อไหร่จะมีหนังสือมาให้ทราบ ต่อมาก็กำหนดนัดหมายขอให้ส่งเงินคืน นายปรีดี พนมยงค์ ก็ส่งเงินคืนตามที่ได้รับฝากไว้
เหล่านั้นเป็นกลวิธีหาเสียงของนักการเมืองในยุคก่อน ซึ่งแม้จะพิสดารแต่ก็เป็นเรื่องที่ไม่เบียดเบียนใคร ไม่ทำร้ายใคร ไม่เอาดีใส่ตัว ไม่เอาชั่วใส่คนอื่น ไม่ถึงขั้นว่าโกหกหลอกลวง แต่เป็นเพียงแค่เก็บงำความจริงบางอย่างไว้เท่านั้นจึงเป็นการหาเสียงที่น่ารัก
ต่างกับสมัยนี้ซึ่งกำลังดุเดือดรุนแรงยิ่งขึ้นทุกที กระบวนกลใดๆ ที่จะทำลายคู่แข่งทางการเมืองได้ก็นำเอามาใช้โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องและความเป็นธรรม
การเอาเปรียบ การฉ้อฉล การฉ้อโกง การใช้อำนาจบาตรใหญ่ การใช้เครือข่ายเพื่อเอาเปรียบกันในทางการเมือง หรือการกระทำใดๆ ที่จะทำลายคู่แข่งทางการเมืองได้ หรือที่จะทำให้ได้คะแนนเสียง ไม่ว่าจะฉ้อฉลฉ้อโกงอย่างไรก็นำมาใช้อย่างไม่ละอายต่อบาป
เพราะทำกันอย่างนี้ ความน่ารักในทางการเมืองจึงหมดไป มีแต่ความแตกแยกแตกสามัคคี ความคับแค้นคับใจ และความอาฆาตพยาบาท ซึ่งก่อให้เกิดผลเป็นความจองล้างจองผลาญล้างแค้นแก่กันจึงเกิดขึ้นและแพร่ขยายตัวไปอย่างกว้างขวาง
ยิ่งการเมืองขับเคี่ยวกันเข้มข้นรุนแรงเท่าใด สภาพการเมืองซึ่งนักปราชญ์บางคนเคยกล่าวว่า การเมืองคือสงครามที่ไม่หลั่งเลือด ก็มีสภาพเหมือนกับสงครามมากขึ้นทุกที กระทั่งอาจเป็นต้นเหตุของสงครามกลางเมืองด้วยก็ได้
แล้วเราจะให้การเมืองในบ้านเมืองของเราเป็นอย่างนี้หรือ?
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี