ถือเป็นคดีสะเทือนขวัญและไม่เกรงกลัวอาญาแผ่นดินอย่างมาก กับกรณีกลุ่มอันธพาลยกพวกบุกถล่ม รร.มัธยมวัดสิงห์ เขตจอมทอง ทำร้ายร่างกายทั้งผู้อำนวยการ ครูและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของโรงเรียน เพียงเพราะไม่พอใจที่ทางโรงเรียนขอให้กลุ่มวัยรุ่นลดเสียงจากลำโพงในงานบวชภายในวัดใกล้ๆ กันลงเนื่องจากกำลังจัดสอบความถนัดทั่วไป (GAT) และความถนัดทางวิชาการและวิชาชีพ (PAT) ซึ่งเป็นการสอบที่สำคัญมากสำหรับผู้ที่ต้องการเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย
ด้านหนึ่งต้องชมเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำงานกันอย่างรวดเร็ว เหตุเกิดยังไม่พ้น 24 ชั่วโมง ก็สามารถควบคุมตัวบรรดาอันธพาลได้นับสิบคน พร้อมแจ้งหลายข้อหาตามพฤติการณ์แห่งการกระทำผิด อย่างไรก็ตาม เหตุสะเทือนขวัญครั้งนี้ยังเป็นอีกหนหนึ่งที่สังคมไทยโดยเฉพาะยุคที่ใครจะระบายอารมณ์อะไรอย่างไรก็ได้ผ่านสื่อออนไลน์ ยังมีความเชื่อเช่นเดิมว่า “เพราะกฎหมายไทยอ่อน..คนชั่วถึงกร่างเต็มบ้านเต็มเมือง” คำถามคือแล้วมันเป็นเช่นนั้นจริงหรือ?
เพราะกรณีกลุ่มอันธพาลดังกล่าว หากผู้ต้องหามีความผิดจริงตามที่ผู้เสียหายให้การจริง เช่น “กรณีทำร้ายร่างกาย” ตามประมวลกฎหมายอาญา ถ้าถึงขั้นเลือดตกยางออกต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ความผิดจะมีตั้งแต่ “มาตรา 295” ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หรือหากถึงขั้นผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส “มาตรา 297”ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน-10 ปี
นอกจากนี้หากเข้าองค์ประกอบใน “มาตรา 289”(เช่น มีการไตร่ตรองไว้ก่อนลงมือก่อเหตุ) โทษจะหนักขึ้น เช่น มาตรา 295 โทษจะหนักขึ้นเป็นจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หรือมาตรา 297 โทษจะเพิ่มขึ้นเป็นจำคุกตั้งแต่ 2 ปี-10 ปี หรือ “กรณีที่นักเรียนหญิงให้การว่าถูกผู้ต้องหาบางรายลวนลาม” ซึ่งจะเข้าข่ายความผิดใน “มาตรา 278” ว่าด้วยการอนาจารผู้อายุ 15 ปีขึ้นไป ผู้กระทำจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
ในความรู้สึกของผู้คน โดยเฉพาะยุคปัจจุบันที่มีการสร้างกระแสเปรียบเทียบประชากรที่ตอนเด็กก็ขยันเรียนตอนโตก็ขยันทำงาน กับประชากรที่ตอนเด็กก็เกกมะเหรกเกเรพอโตมาก็ทำตัวเป็นอันธพาลหรือเป็นมิจฉาชีพ อาจมองว่าโทษเท่านี้ไม่ทำให้คนกลัวเกรง เพราะประชากรกลุ่มหลังไม่เคยคิดอะไรเป็นสาระแก่ชีวิตอยู่แล้วไม่เช่นนั้นคงไม่ด้อยคุณภาพอย่างที่สังคมพบเห็น แต่ต้องบอกว่า “ในความเป็นจริงทุกชนชั้นล้วนเกรงกลัวกฎหมาย หากกฎหมายที่มีอยู่บังคับใช้ได้จริง” โดยไม่ต้องนำหลักแก้แค้นทดแทนหรือเอาสะใจเข้าว่ามาประกอบด้วยซ้ำไป
ย้อนไปในปี 2556 ชำนาญ จันทร์เรือง ขณะนั้นเป็นนักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เผยแพร่บทความ “โทษประหารชีวิตไม่ทำให้อาชญากรรมลดลง” อ้างอิงผลการศึกษาในประเทศแคนาดา ที่พบว่าในปี 2518 ที่ยังมีโทษประหารชีวิต มีอัตราคดีฆาตกรรมอยู่ที่ 3.09 คนต่อประชากรแสนคน ต่อมาในปี 2523 ที่ยกเลิกโทษประหารชีวิต สถิติลดลงมาอยู่ที่ 2.41 คนต่อประชากรแสนคน และปี 2548 อยู่ที่ 2 คนต่อประชากรแสนคนตามลำดับ (และหากดูข้อมูลล่าสุดที่เผยแพร่ในปี 2560 พบว่าอยู่ที่ 1.8 คนต่อประชากรแสนคน)
หรือถ้าจะให้เป็นรายงานอย่างทางการกว่านั้นในปี 2557 กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม นำเสนอรายงาน บทสรุปทางวิชาการ “แนวทางความเป็นไปได้ของการเปลี่ยนแปลงโทษประหารชีวิตในสังคมไทย ตามหลักสิทธิมนุษยชนสากล” (ท่านผู้อ่านสามารถค้นหาบนอินเตอร์เนตได้ในชื่อ : เอกสารทางวิชาการประกอบการประชุมเชิงปฏิบัติการ “โทษประหารชีวิตยังจำเป็นต่อสังคมไทยหรือไม่”) อ้างอิงผลการศึกษาและรายงานจากหลายแห่งต่างเห็นไปในทางเดียวกันว่าจะมีหรือไม่มีโทษประหารก็ไม่มีความเกี่ยวข้องกับสถิติคดีอาชญากรรม
เช่น ในสหรัฐอเมริกา เปรียบเทียบระหว่างมลรัฐที่มีโทษประหารชีวิต อาทิ เท็กซัส มีคดีฆาตกรรม5.4 คนต่อประชากรแสนคน กับมลรัฐที่ไม่มีโทษประหารชีวิต อาทิ ไอโอวา มีคดีฆาตกรรมเพียง 1.1 คนต่อประชากรแสนคน และแม้จะมีงานวิจัยบางชิ้นที่พบว่าการใช้โทษประหารชีวิตมีผลให้คนยับยั้งชั่งใจไม่กล้ากระทำผิด แต่ดูเหมือนจะให้น้ำหนักกับกระบวนการบังคับใช้กฎหมายที่เด็ดขาด “คนไม่กลัวโทษหนักมากเท่ากับที่กลัวการถูกจับได้” รวมถึงการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมให้เจริญก้าวหน้าเสียมากกว่า
ชาติชาย สุทธิกลม กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) และอดีตอธิบดีกรมราชทัณฑ์ เคยให้สัมภาษณ์กับ “ทีมงาน นสพ.แนวหน้า” (ยกเลิก“โทษประหารชีวิต” ทิศทางโลกvsกระแสสังคมไทย : หน้า 13 นสพ.แนวหน้า ฉบับวันอังคารที่ 6 มิ.ย. 2560)ยืนยันอีกเสียงว่า “ลำพังการต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำถูกจำกัดเสรีภาพก็ถือว่าทำให้คนเกรงกลัวได้แล้วขอแค่กระบวนการบังคับใช้กฎหมายมีประสิทธิภาพ” ตั้งแต่เมื่อเกิดเหตุ ตำรวจสามารถรวบรวมพยานหลักฐานสามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้เร็ว หลักฐานแน่นหนาไม่ผิดตัว กระทั่งศาลตัดสินจำคุก
ข้างต้นนี้เป็นข้อค้นพบกรณีประเทศที่ยกเลิกโทษประหารแต่ยังมีกระบวนการบังคับใช้กฎหมายที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งหากใช้หลักคิดแบบเดียวกันกับความผิดเรื่องอื่นๆ ก็เชื่อว่าจะได้ผลไม่แตกต่าง ยกตัวอย่างที่ใกล้ตัวเสียหน่อยจากที่เคยมีโอกาสพูดคุยกับคนขับรถแท็กซี่หลายท่าน และทุกท่านบอกตรงกันว่า “ไม่กล้าฝ่าไฟแดงในแยกที่รู้ว่ามีกล้อง” เพราะไม่อยากถูกปรับ “เคยโดนส่งใบสั่งไปถึงบ้าน ถูกปรับเงินถึงจะจำนวนน้อยๆ ครั้งละไม่กี่ร้อยบาท แต่โดนบ่อยๆ ก็ลำบากเหมือนกัน” แถมยังมีประวัติที่ส่งผลต่อการต่อใบขับขี่สาธารณะอีกต่างหาก
ฉันใดก็ฉันนั้น..ที่ผ่านมาคนไทยมักจะมองอย่างทำใจว่า “ดูเหมือนกฎหมายไทยจะไม่ศักดิ์สิทธิ์เอาเสียเลย” เพราะเมื่อเกิดคดีความไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ “มักจะมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างเสมอว่าบรรดาคนใหญ่คนโตก็ดี หรือคนในสังกัดของคนใหญ่คนโตนั้นก็ตาม พอไปทำผิดก็จะมีกระบวนการบางอย่างเข้าไปช่วยเหลือให้หลุดคดีไม่ต้องรับโทษ” หรือแม้กระทั่งช่วยพาหลบหนีกรณีศาลมีคำพิพากษาแล้ว เมื่อได้เห็นได้ยินเรื่องแบบนี้บ่อยครั้งเข้า “ใครจะเคารพยำเกรงกฎหมาย” มีแต่จะยิ่งพยายามไปขอฝากเนื้อฝากตัวกับผู้มีอำนาจ หรือเป็นผู้มีอำนาจเสียเอง
ดังนั้นสิ่งที่สังคมไทยควรเรียกร้องคือ “ทำอย่างไรกระบวนการบังคับใช้กฎหมายจึงจะมีประสิทธิภาพและเสมอหน้าอย่างแท้จริง” อย่างที่ประเทศเจริญแล้วเขาเป็นอยู่ น่าจะเป็นวิธีคิดที่นำไปสู่การแก้ปัญหาได้ตรงจุดกว่าหรือไม่?
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี