บทความในวันนี้ตั้งหัวข้อเรื่องว่า “ประชาธิปไตยแบบลิโป้” ซึ่งเป็นข้อความที่หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้เคยเขียนเพื่อประชดประชันบรรดาผู้ที่อ้างประชาธิปไตย ที่คำหนึ่งสองคำก็ประชาธิปไตย แต่แท้จริงก็เพื่ออำนาจ เพื่อช่วงชิงอำนาจ เพื่อใช้อำนาจ และรักษาอำนาจของตนเท่านั้น
ในขณะที่การกระทำแทบทั้งหมดไม่มีสิ่งใดที่เรียกว่าเป็นประชาธิปไตยได้เลย ข้อความเรื่องนี้หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้เขียนขึ้นในยุครัฐบาลจอมพลถนอม-ประภาส แต่ก็ยังเป็นบทความที่ทันสมัยอยู่เสมอ
หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เอาลิโป้มาเป็นต้นแบบประชาธิปไตยแบบปากอย่างใจอย่าง ก็เพราะว่าเมื่อครั้งยุคสามก๊กนั้น โจโฉดำรงตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี ถือพระราชโองการของฮ่องเต้ออกปราบปรามบรรดาขุนศึกต่างๆ ที่แข็งเมือง ตั้งตนเป็นปรปักษ์ต่อราชสำนัก แล้วเที่ยวยึดบ้านยึดเมืองมาครอบครองเอาตามอำเภอใจ
ลิโป้ ซึ่งเป็นนักรบฝีมือกล้าแข็ง และมีกำลังทหารที่มีฝีมือดีจำนวนมาก ได้เข้ายึดเมืองต่างๆ หลายเมืองไว้ในอำนาจ โจโฉ จึงถือพระราชโองการยกกองทัพไปปราบลิโป้ เมื่อกองทัพทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากันก็ต้องชี้หน้าด่ากันก่อนตามธรรมเนียมการรบแบบจีน คือต้องบอกว่าตัวเองเป็นใครแล้วก็ต้องชี้หน้าด่าฝ่ายตรงกันข้าม จากนั้นอีกฝ่ายหนึ่งก็จะบอกว่าตัวเองเป็นใคร แล้วก็ชี้หน้าด่ากลับคืน
ในครั้งนั้นโจโฉได้ยกแส้ม้าชี้ด่าลิโป้แล้วถามว่า ท่านได้ยึดครองแผ่นดินของพระเจ้าเหี้ยนเต้ไว้และยังรุกรานยึดบ้านเมืองต่างๆ ไว้เป็นกบฏต่อแผ่นดิน เราจึงถือพระราชโองการของพระเจ้าเหี้ยนเต้มาปราบปรามท่านซึ่งเป็นกบฏในครั้งนี้
โจโฉกล่าวแล้วลิโป้ก็ด่ากลับโจโฉบ้างว่าแอบอ้างพระราชโองการของฮ่องเต้ และยกเหตุผลว่าโจโฉไม่มีสิทธิ์ที่จะมากำราบปราบปราม ว่าแล้วก็กล่าววาทะอันลือลั่นสนั่นโลกมาจนถึงบัดนี้ว่า แผ่นดินนี้เป็นของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ไม่ใช่ของท่าน ท่านจะถือเอาพระราชโองการมาปราบปรามเรานั้นไม่ชอบ อันแผ่นดินของพระเจ้าเหี้ยนเต้นี้เป็นของสาธารณะ ใครมีกำลังก็สามารถยึดครองเอาได้
เหตุผลของลิโป้แบบนี้จึงเป็นเหตุผลที่ไม่เป็นเหตุเป็นผลให้แก่กันเลย คนโง่ธรรมดาหรือคนบ้าธรรมดา หรือแม้กระทั่งคนที่มีความฉลาดทั่วไปย่อมไม่มีทางที่จะค้นหาเหตุผลแบบลิโป้มาใช้ได้เลย และเพราะเหตุผลชนิดนี้แหละจึงทำให้คำกล่าวของลิโป้ในครั้งนั้นลือลั่นสนั่นโลกและถูกนำเอาไปใช้เป็นเหตุผลของความไร้เหตุผลทั้งหลาย
แต่ในยุคสมัยปัจจุบันนี้ชาติมหาอำนาจหลายชาติกลับนิยมยกเอาเหตุผลของลิโป้มาใช้เป็นเหตุผลในการเข้าครอบงำแทรกแซงชาติอื่นๆ ที่มีแสนยานุภาพด้อยกว่าตน คือ ยึดถือเหตุผลแบบลิโป้ในลักษณะที่ว่าประเทศทั้งหลายในโลกนี้ล้วนเป็นสาธารณะ ใครมีกำลังก็แย่งยึดเอาได้ ขอเพียงได้อ้างประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนก็ใช้เป็นเหตุผลในการครอบงำแทรกแซงเข้ายึดบ้านยึดเมืองต่างๆ ได้
ตัวอย่างก็มีให้เห็นมาแล้วเป็นอันมาก โดยเฉพาะกรณีที่เกิดขึ้นที่อิรัก ซีเรีย ลิเบีย ปาเลสไตน์ เลบานอน และล่าสุดกำลังเกิดขึ้นที่ประเทศเวเนซุเอลา
นั่นก็คือมหาอำนาจต่างชาติได้ประกาศรับรองให้นักการเมืองหุ่นฝ่ายค้านให้เป็นประธานาธิบดีแทนประธานาธิบดีตัวจริงที่ประชาชนเลือกตั้งมาตามระบอบประชาธิปไตย และสหประชาชาติรวมทั้งประเทศต่างๆ ก็รับรองความเป็นรัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมาย
แม้กระนั้น ประเทศมหาอำนาจก็ไม่ยอมรับ กลับยืนยันให้ประธานาธิบดีหุ่นเป็นประธานาธิบดีโดยไม่ฟังเสียงใคร ด้วยข้ออ้างว่ารัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมายไม่เป็นประชาธิปไตย ละเมิดสิทธิมนุษยชน และทำให้ประชาชนไม่ได้รับความเป็นธรรมในการบริหารบ้านเมือง
ถึงขั้นจัดตั้งมวลชนกว่า 600,000 คน เพื่อเดินขบวนขับไล่รัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ทำไม่สำเร็จ เพราะประเทศองค์การความร่วมมือแห่งเซี่ยงไฮ้ โดยเฉพาะ รัสเซีย จีน อิหร่าน และคิวบา ได้ให้การสนับสนุนรัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมาย และประชาชนก็สนับสนุนรัฐบาลนั้น ดังนั้น จึงเกิดการเดินขบวนครั้งใหญ่ถึง 1,600,000 คน เพื่อสนับสนุนรัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมายนั้น จนทำให้แผนใช้มวลชนขับไล่รัฐบาลต้องล้มเหลวไป
จากนั้นก็มีการเตรียมการใช้แสนยานุภาพทางทหารเพื่อบุกเข้ายึดเวเนซุเอลาโดยตรง แต่เดชะบุญที่รัฐบาลเวเนซุเอลาไหวตัวทัน จึงเชื้อเชิญให้รัสเซีย จีน คิวบา และอิหร่านส่งกองทหารเข้าไปช่วย พร้อมทั้งจัดเตรียมกำลังทหารกว่า 500,000 คน และสรรพอาวุธยุทโธปกรณ์พร้อมที่จะทำสงครามกับผู้รุกราน จึงทำให้การยึดครองเวเนซุเอลาด้วยกำลังทหารต้องชะงักอยู่จนกระทั่งขณะนี้
มาถึงประเทศไทยของเราก็เป็นที่รู้กันดีว่าต่างชาติจับจ้องตาเป็นมัน เพราะประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางยุทธศาสตร์ของภูมิภาค เป็นศูนย์กลางของกลุ่มอาเซียน เป็นศูนย์กลางยุทธศาสตร์เส้นทางสายไหมที่เชื่อมต่อจีน-อาเซียนทั้งทางบกและทางทะเล ดังนั้น ประเทศไทยจึงตกเป็นเป้าหมายที่จะต้องขยายบทบาทของประเทศมหาอำนาจในภูมิภาคนี้เพื่อรองรับกับยุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิก
เพื่อการนั้นจึงมีการจัดตั้งมวลชนในรูปแบบต่างๆ มากหลาย และจ้องหาจังหวะที่จะปฏิบัติการต่อประเทศไทยในรูปแบบต่างๆ ซึ่งเป้าหมายแท้จริงนั้นก็ย่อมไม่ต่างจากที่เวเนซุเอลากำลังประสบอยู่
ดังนั้นกรณีการต่อว่าต่อขานกันระหว่างคณะทูตสิบกว่าประเทศ รวมทั้งทูตของอียูที่ขอเข้าไปสังเกตการณ์การสอบสวนคดี และมีการตอบโต้กันว่าเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของประเทศไทย และมีการโต้กลับว่าบางชาติที่เกี่ยวข้องนั้นมีสิทธิ์ที่จะเข้ามาสังเกตการณ์ได้
นี่คือชนวนที่กำลังขยายตัวให้กลายเป็นความขัดแย้งทางการทูตและการเมืองระหว่างประเทศขึ้นแล้ว และอย่าคิดว่าเหตุผลอันชอบธรรมจะใช้ได้ เพราะเขาไม่ใช้เหตุผลอันชอบธรรมในเรื่องนี้ แต่ย่อมใช้เหตุผลแบบประชาธิปไตยของลิโป้ ซึ่งเป็นอันตรายต่อบ้านเมืองที่ทุกฝ่ายควรตระหนักให้จงดี!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี