ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประกาศจะเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ซึ่งการประกาศดังกล่าวไม่ใช่เรื่องผิด เพราะใครๆ ที่ลงสมัคร สส. ก็ประกาศเช่นนั้นได้ แต่ประกาศไปแล้วจะเป็นได้จริงๆ หรือประกาศไปแล้วมีแต่คนหัวเราะเยาะ ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่ง
อันที่จริงธนาธรก็มีความน่าสนใจในสายตาของผู้คนที่สนใจการเมืองไทยมิใช่น้อย แต่สนใจแล้วจะสนับสนุนหรือไม่ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่ง สาเหตุที่เขาได้รับความสนใจก็เพราะเขาคือนายทุนรายหนึ่งที่ประกาศตัวชัดเจนว่าต้องการจะเข้าไปมีอำนาจรัฐ จนถึงขนาดว่าจะเข้าไปเป็นนายกรัฐมนตรี และเขาบอกด้วยว่าอยากจะเข้าไปเปลี่ยนแปลงการเมืองไทย และยังโฆษณาอีกว่าจะทำให้การเมืองไทยดีขึ้นกว่าเดิม ซึ่งสิ่งที่ธนาธรประกาศนั้นก็ไม่ได้แตกต่างไปจากนักการเมืองรายอื่นๆ ในประเทศนี้ แต่มีสิ่งที่แตกต่างไปก็คือการที่เขาประกาศตนว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะการประกาศเช่นนี้ทำให้หลายคนเมื่อได้ฟังแล้วถึงกับอมยิ้ม
อันที่จริงถ้าธนาธรเป็นนายกรัฐมนตรีได้จริง สังคมก็คงต้องยอมรับว่าเขาคือนายกรัฐมนตรีที่มีเงินให้พรรคการเมืองที่เขาเป็นผู้ร่วมก่อตั้งยืมเงินจำนวนกว่า 100 ล้านบาท เพราะเขาประกาศว่าเขาให้พรรคอนาคตใหม่ยืมเงิน 110 ล้านบาท ไม่ใช่เรื่องใหญ่ประการใดเลยกับการที่นายทุนอย่างเขาจะให้พรรค ยืมเงินเพียง 110 ล้านบาท แต่ปัญหาอยู่ตรงที่ว่าพรรคการเมืองไทยสามารถยืมเงินเพื่อนำไปใช้ในกิจกรรมการเมืองของพรรคได้หรือ และยังมีปัญหาต่อมาคือเขาผู้ซึ่งต้องการจะเป็นนายกรัฐมนตรีของไทยอ่านกฎหมายซึ่งเป็นข้อบังคับของพรรคการเมืองเข้าใจหรือไม่
สาธารณชนไทยตั้งคำถามย้ำว่าพรรคการเมืองสามารถกู้ยืมเงินจากนายทุนไปเพื่อใช้ดำเนินกิจกรรมการเมืองของพรรคได้หรือ ส่วนประเด็นที่ว่าจะให้ยืมเป็นเงิน 250 ล้านบาท หรือ 110 ล้านบาท หรือว่า 90 ล้านบาท ไม่ใช่สาระสำคัญ เพราะสาระสำคัญคือ พรรคยืมเงินจากนายทุนไปใช้ทำกิจกรรมการเมืองได้หรือ เรื่องนี้มีผู้คนมากมายตั้งคำถามกับธนาธร และต้องการทราบด้วยว่าธนาธรอ่านกฎหมายเกี่ยวกับเงินใช้จ่ายสำหรับพรรคการเมืองเข้าใจหรือไม่
เมื่อพิจารณาจากพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง กำหนดที่มารายได้ของพรรค ไว้ใน มาตรา 62 ดังนี้ (1) เงินทุนประเดิมตามมาตรา 9 วรรคสอง (2) เงินค่าธรรมเนียมและค่าบํารุงพรรคการเมืองตามที่กําหนดในข้อบังคับ (3) เงินที่ได้จากการจําหน่ายสินค้าหรือบริการของพรรคการเมือง (4) เงิน ทรัพย์สิน และประโยชน์อื่นใดที่ได้จากการจัดกิจกรรมระดมทุนของพรรคการเมือง (5) เงิน ทรัพย์สิน และประโยชน์อื่นใดที่ได้จากการรับบริจาค (6) เงินอุดหนุนจากกองทุน (7) ดอกผลและรายได้ที่เกิดจากเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดของพรรคการเมือง
มีผู้ตั้งคำถามไปยังธนาธรว่ามีวงเล็บไหนที่ระบุว่าพรรคการเมืองสามารถกู้ยืมเงินจากนายทุนได้ ดังนั้นถ้าพรรค มีรายได้อื่นใดนอกเหนือไปจากที่ระบุในกฎหมายแล้วก็ถือว่าได้เงินมาโดยไม่ชอบ แล้วธนาธรรู้หรือไม่ว่ามาตรา 66 กำหนดว่า บุคคลใดจะบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดให้พรรคการเมืองมีมูลค่าเกิน 10 ล้านบาทต่อพรรคการเมืองต่อปีมิได้ และในกรณีที่บุคคลนั้นเป็นนิติบุคคล การบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดให้พรรคการเมืองไม่ว่าพรรคเดียวหรือหลายพรรคเกินปีละ 5 ล้านบาท จะต้องแจ้งให้ที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นทราบในการประชุมใหญ่คราวต่อไปหลังจากบริจาคแล้ว พรรคการเมืองจะรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดซึ่งมีมูลค่าเกินวรรคหนึ่งมิได้
นี่เป็นเพียงบางมาตราที่ตราไว้เพื่อให้นักการเมืองอ่านและต้องปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด หากธนาธรอ่านแล้วไม่เข้าใจ หรือไม่อ่าน ก็ต้องบอกตรงๆ ว่าอย่าเข้าไปทำงานการเมืองเลย เพราะบ้านเมืองจะสับสนอลหม่านจนเละเทะเลอะเทอะ หรือธนาธรไม่ต้องการปฏิบัติตนตามข้อบังคับของกฎหมาย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี