“หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า” หรือที่เรียกกันติดปากว่า “30 บาทรักษาทุกโรค” ริเริ่มตั้งขึ้นจากการผลักดันของ นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ ด้วยมุ่งหวังให้คนไทยทุกคนมีสิทธิการรักษาพยาบาลขั้นพื้นฐานอย่างเท่าเทียมกัน“เพราะในครอบครัวหากมี 1 คนป่วย คนที่เหลืออาจถึงขั้นสิ้นเนื้อประดาตัว” เนื่องจากต้องนำเงินที่เก็บออมไปเป็นค่ารักษาพยาบาล กลายเป็นภาพน่าเวทนาต่อผู้ได้ทราบเรื่องราว
เกือบ 2 ทศวรรษที่หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า “หยั่งรากลึก” ลงบนผืนแผ่นดินไทย ในมุมหนึ่งกลับถูกนำมาเป็น “ประเด็นทางการเมือง” อยู่หลายหนว่า“ประชานิยม” และสำทับด้วย “ใช้ประโยชน์ไม่ได้จริง”แล้วก็เรียกร้องให้ยกเลิกบ้าง ให้สิทธิเฉพาะคนจนบ้างหรือเปลี่ยนไปเป็นระบบร่วมจ่ายบ้าง ซึ่งสัปดาห์นี้“ที่นี่แนวหน้า” ขอนำเรื่องเล่า 2 เรื่อง ของผู้ที่เคยมีประสบการณ์ได้ใช้บริการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า มาให้ผู้อ่านได้รับทราบกัน
เรื่องแรกมาจาก ผศ.ดร.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดีอาจารย์วิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(มธ.) เขียนบทความ “รักษาฟรีไม่มีข้อแม้” เผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว “Sustarum Thammaboosadee” เมื่อ 30 พ.ค. 2562 เล่าว่า หลังจาก มธ. เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ออกนอกระบบ ทำให้ผู้ที่เข้าเป็นอาจารย์ หลังปี 2540 ไม่มีสถานะเป็นข้าราชการ จึงไม่ได้สิทธิรักษาพยาบาลสมาชิกในครอบครัว ตัวของอาจารย์เองนั้นใช้สิทธิประกันสังคม ขณะที่คุณแม่ใช้บัตร 30 บาท และภรรยาที่เคยซื้อประกันเอกชนต่อมาก็ยกเลิกและหันมาใช้บัตร 30 บาทเช่นกัน
อาจารย์ษัษฐรัมย์เล่าต่อไปว่า กรณีของคุณแม่นั้นป่วยเป็นโรคเรื้อรัง การมีสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือบัตร 30 บาทนั้น ช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้หลายพันบาท ส่วนกรณีของภรรยานั้นได้ไปใช้บริการคลินิกเวชกรรมที่ไม่ไกลจากบ้านมากนัก ซึ่งนอกจากจะได้รับความสะดวกแล้ว “ยังทำให้ได้แก้ไขความเข้าใจผิดด้วยว่าการมีผู้มารักษามากๆ เป็นภาระ” ที่หลายคนยังเชื่อกันอยู่ ดังที่อาจารย์ได้บรรยายไว้ว่า..
“ถ้าคิดตามมโนสำนึกแบบชนชั้นกลาง ตอนไปลงทะเบียนสิทธิ สิ่งที่คิดคือ เจ้าหน้าที่น่าจะมองเราน่ารังเกียจมาเบียดบังสวัสดิการ เป็นปรสิต กาฝากฯลฯ แบบทัศนะชาวเนต pantip เป็นชนชั้นกลางวัยทำงานทำไมไม่ยอมจ่าย บลาๆๆๆ แต่นั่นคือแค่เรื่องมโนกันเอง เจ้าหน้าที่ดีมาก กุลีกุจอ ผมสอบถามพาซื่อว่าบัตรทองคนมาใช้ฟรีคลินิกไม่เจ๊งเหรอ คุณพยาบาลยิ้มๆ แล้วบอกว่า ไม่หรอก ยิ่งคนลงทะเบียนเยอะ ยิ่งได้งบประมาณเยอะ เอามาพัฒนาคลินิกได้ เพิ่มหมอเฉพาะทางมาประจำบางวัน
แล้วยิ่งคนอายุน้อย มาลงทะเบียนจริงๆ ก็ใช้น้อยปีหนึ่ง 2-3 ครั้ง บางคนไม่ใช้เลย ส่วนคนสูงอายุก็มียาประจำของเขามีโรคประจำตัว พบหมอติดตามอาการปกติ ไม่กระทบอะไรกับการบริหารคลินิกเลย ในคลินิกผมรอพร้อมกับลูกจ้างร้านขายส้มตำ วินมอเตอร์ไซค์ที่คุ้นหน้า คนที่เราอยู่ในสังคมเดียวกัน เราอาจทำงานต่างกัน แต่ได้ป่วยด้วยกันรักษาด้วยหมอคนเดียวกัน สิ่งที่เห็นคือ การปลอดความกังวลต่างๆ”
อย่างไรก็ตาม อาจารย์ษัษฐรัมย์ มองว่าปัญหาที่พูดกันบ่อยๆ คือ “บุคลากรทางการแพทย์ขาดแคลน”ต้นเหตุน่าจะมาจาก “การกระจุกตัวในส่วนกลาง” โดยเฉพาะแพทย์ที่กว่าร้อยละ 50 อยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ขณะที่โรงพยาบาลประจำอำเภอ อาจมีหมอ 4-5 คนเท่านั้น หมอเฉพาะทางบางสาขาในจังหวัดประชากรมากกว่า 1 ล้านคน อาจมีแค่ 1 คนเท่านั้น “การกระจายอำนาจ” ลดระบบราชการรวมศูนย์จึงเป็นทางออก
อีกเรื่องหนึ่งมาจากทีมประชาสัมพันธ์ของ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กับกรณีของ นายนริศร์ ศักดาพลรักษ์ อายุ 72 ปี เคยทำงานเป็น “วิศวกร” จึงจัดอยู่ในสถานะ “ชนชั้นกลาง”คนหนึ่ง “แต่แล้วเมื่อล้มป่วยด้วยสารพัดโรค” ตั้งแต่อาการปวดท้องจากภาวะติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร ตามด้วยภาวะเส้นเลือดอุดตันในสมอง และต่อมายังมีภาวะลิ้นหัวใจรั่วอีก “ค่าใช้จ่ายในการรักษาคงแตะหลักล้านบาท” รู้สึกเครียดมาก
คุณนริศร์เล่าว่า ในช่วงรอคิวถึง 6 เดือนก่อนผ่าตัดนั้นมีพยาบาลโทรศัพท์มาสอบถามอาการทุกๆ 2 สัปดาห์ จนกระทั่งพักรักษาตัวหลังผ่าตัดอีก 7 วัน และตรวจเพื่อติดตามผลหลังกลับบ้าน “ทั้งหมดเป็นไปภายใต้สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า” หากต้องจ่ายเองทั้งหมดคงไมไหว ไม่พ้นต้องเป็นหนี้ “การใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าทำให้มีส่วนที่ต้องออกเงินเองเพียงหลักหมื่นบาทเท่านั้น” ลดค่าใช้จ่ายได้หลายเท่าตัว และย้ำว่า..
“วันนี้หากถามว่าระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเป็นสิทธิจำเป็นในกลุ่มคนชนชั้นกลางหรือไม่ ตอบได้ว่าจำเป็นในฐานะผู้ที่ประสบเหตุการณ์ด้วยตัวเองและในระหว่างที่เข้ารับการรักษายังพบผู้ป่วยบางคนที่ย้ายมาใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพหลังจากหมดเงินค่ารักษาที่ รพ.เอกชนเป็นหลักแสนหลักล้านบาทจนจ่ายไม่ไหว ส่วนที่มีข้อเสนอให้จำกัดสิทธิบัตรทองเฉพาะกับคนจนและผู้มีรายได้น้อยนั้น มีความเห็นว่าเราคงใช้เส้นแบ่งตรงจุดนั้นไม่ได้ เพราะคนที่มีเงินวันหนึ่งอาจจะประสบภาวะล้มเหลว กลายเป็นคนไม่มีเงินได้
และข้อเท็จจริงไม่มีใครอยากเจ็บป่วยหรือไม่สบายเพื่อขอใช้สิทธิ การใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพจึงเป็นการใช้สิทธิที่จำเป็นเท่านั้น ซึ่งงบประมาณของรัฐที่จ่ายกับระบบนี้ได้ยังประโยชน์ให้กับประชาชนโดยตรง ส่วนคนรวยนั้นมองว่าคงไม่มีใครอยากมาใช้สิทธิระบบนี้อยู่แล้ว ส่วนใหญ่หากมีเงินก็จะเข้ารักษาที่ รพ.เอกชน หรือจ่ายเงินเองมากกว่าเพื่อความสะดวกและรวดเร็ว”
อนึ่ง คุณนริศร์กล่าวถึงสิ่งที่ควรเพิ่มเติมคือ “มาตรการลดปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้คนเจ็บป่วย” เช่น การจำกัดการใช้ยาปราบศัตรูพืชด้วยการสนับสนุนใช้วิธีอื่นที่ปลอดภัยและไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ การลดใช้น้ำมันประกอบอาหารที่ก่อให้เกิดภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบเป็นต้น พร้อมมีมาตรการสนับสนุนการออกกำลังกายควบคู่ ซึ่งน่าจะเป็นแนวทางที่ดีและมีประโยชน์กับประชาชนมากกว่าไปยกเลิก
เพราะไม่มีใครรู้ได้ว่าวันนี้ร่ำรวย วันหน้าไม่ตนเองก็คนที่รักอาจป่วยจนต้องใช้เงินเก็บทั้งหมดที่มีก็ได้ ยังไม่นับเรื่องที่ต้องยอมรับความจริงด้วยว่า“ที่ผ่านมาเมื่อรัฐพยายามตามหาคนจน กลับพบเสมอว่าคนจนไม่ได้สิทธิ์ แต่คนที่ได้สิทธิ์กลับไม่จน”ดูตัวอย่าง “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” ที่เจออยู่หลายกรณี!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี